LONG US … LONG MAG7 … SHORT EM … and HODL BITCOIN
นโยบายการเงินของทรัมป์ ส่งเสริมสกุลเงินดิจิทัลในทุกด้าน ทั้ง การทำให้สหรัฐ เป็น “เมืองหลวงของโลกด้านบิตคอยน์และคริปโตฯ” และ ข้อเสนอให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซื้อ Bitcoin 1 ล้าน BTC เพื่อเป็นสินทรัพย์สำรองทางยุทธศาสตร์ รวมถึงประเด็นที่ ทรัมป์เคยหาเสียงเอาไว้ว่าอยากจะเปลี่ยนผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯคนปัจจุบัน หรือ เปลี่ยนตัว เจโรม โพเวลล์
ชัยชนะของการเลือกตั้งสหรัฐฯตกเป็นของพรรครีพลับลีคัน และ นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ใช่แล้วครับ ทรัมป์ ... เค้าคนนั้นจะกลับมา พร้อมกับ ระลอกใหม่ของสงครามการค้า กำแพงภาษี นโยบายแรงงาน และ ความผันผวนจากการทวีตผ่าน X (Twitter)
ในบทความนี้ผมจึงอยากชวนคุยในประเด็นนโยบายของทรัมป์เพื่อให้นักลงทุนได้เห็นถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 พร้อมกับการปรับพอร์ตสินทรัพย์การลงทุนกันครับ
นโยบายการคลังของทรัมป์ เป็นไปได้สูงว่าจะยังคงดำเนินมาตรการคงหรือลดภาษีนิติบุคคลที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2017 หรือ กฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) และ อาจปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% เพิ่มเติมอีกด้วย
นโยบายการค้าของทรัมป์ จะจัดเก็บภาษีนำเข้า 10%-20% กับทุกประเทศทั่วโลก และ ภาษีนำเข้า 60% สำหรับสินค้าจากจีน
นโยบายแรงงานของทรัมป์ ยังคงความชาตินิยม และ สนับสนุน American First โดยจะกำหนดกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในการให้สัญชาติสหรัฐฯ
นโยบายพลังงานของทรัมป์ จากความเชื่อในเชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งอาจนำไปสู่การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซภายในอเมริกามากขึ้นรวมถึงแนวโน้มการยกเลิก Inflation Reduction Act (IRA) ของ โจ ไบเดน ที่โฟกัสพลังงานสะอาดหรือข้อตกลงปารีส
นโยบายการเงินของทรัมป์ จะส่งเสริมสกุลเงินดิจิทัลในทุกด้าน ทั้ง การทำให้สหรัฐ เป็น “เมืองหลวงของโลกด้านบิตคอยน์และคริปโตฯ” และ ข้อเสนอให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซื้อ Bitcoin 1 ล้าน BTC เพื่อเป็นสินทรัพย์สำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Reserves) รวมถึงประเด็นที่ ทรัมป์เคยหาเสียงเอาไว้ว่าอยากจะเปลี่ยนผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯคนปัจจุบัน หรือ เปลี่ยนตัว เจโรม โพเวลล์
นโยบายด้านความมั่นคงของทรัมป์ แสดงจุดยืนชัดเจนเรื่องสันติซึ่งอาจจะนำไปสู่จะการสนับสนุนให้มีการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และ โน้มน้าวอิสราเอลให้สงบศึกกับฮามาส
นโยบายอื่นๆของทรัมป์ อาทิ เช่น สนับสนุนสิทธิในการพกอาวุธ การไม่ลงนามในกฎหมายห้ามทำแท้ง และ แต่ละรัฐควรกำหนดนโยบายการทำแท้งของตนเอง
ผลกระทบต่อการลงทุนที่ผมมองเห็นอย่างชัดเจนมีอยู่สามประการ
ประการแรก คือ กำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯภายใต้การนำของทรัมป์จะเติบโตต่อ จากมาตรการช่วยเหลือการลดภาษีนิติบุคคล และ การขึ้นกำแพงภาษีกับประเทศอื่นๆซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ โดย ตลาดคาดการณ์ว่าทุกการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลลง 1% กำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนี Russell 2000 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.0-1.5% รวมถึง S&P 500 และ NASDAQ ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 0.4-1.0%
ประการที่สอง คือ น้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดหมีในขณะที่เงินเฟ้อยังวางใจไม่ได้ ทั้งการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นซึ่งปัจจุบันกำลังการผลิต หรือ อุปทานของน้ำมันโลกก็เยอะมากอยู่แล้ว รวมไปถึง การเจรจาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ หากสำเร็จ ราคาน้ำมันดิบคงท่าไม่สวยแน่สำหรับปี 2025
ประการสุดท้าย คือ ความผันผวนคือสิ่งแน่นอนในปี 2025 แม้ราคาน้ำมันดิบจะลดลงแต่นั่นไม่อาจทำให้เงินเฟ้อลดลงตามเพราะราคาสินค้าและบริการจะแพงขึ้นทั่วโลกรวมถึงมาตรการแรงงานที่เน้นคนสหรัฐฯ เราอาจจะเห็นเงินเฟ้อจากที่ส่งผ่านค่าแรงอีกระลอกก็เป็นได้ ด้วยความคลุมเครือนี้ FED จึงยังต้อง “Data Dependent” กันต่ออีกปี รวมถึงความเสี่ยงเปลี่ยนตัวผู้ว่าธนาคารกลาง
ผมจึงอยากนำเสนอกลยุทธ์การลงทุนกองทุน SSF RMF ต้อนรับปี 2025 กันครับ
การลงทุนในสหรัฐ สำหรับ SSF ผมแนะนำ SCBRS2000(SSF) ซึ่งลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ ตามดัชนี Russell 2000 และ สำหรับ RMF ผมแนะนำKUS500XRMF ซึ่งลงทุนในหุ้นสหรัฐฯตามดัชนี S&P 500 (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน)
การลงทุนในคริปโตฯและหุ้นเทคโนโลยี สำหรับ SSF ผมแนะนำ TNEXTGEN-SSF ซึ่งลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธีม Next Generation Internet และ สำหรับ RMF ผมแนะนำ TISCONEXTGENRMF-A
การลงทุนป้องกันเงินเฟ้อ สำหรับ SSF ผมแนะนำ SCBGOLDH-SSF ลงทุนในทองคำผ่าน SPDR Gold ETF (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน) และ สำหรับ RMF ผมแนะนำ SCBGOLDHRMF ลงทุนในทองคำผ่าน SPDR Gold ETF (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน) เพราะเงินเฟ้อยังวางใจไม่ได้
อย่าลืมปรับพอร์ตการลงทุนรับปี 2025 และ ลดหย่อนภาษีกันนะครับ