หุ้นไทยกำลังพุ่งทะยาน จาก แพทองธาร ชินวัตร
ผมเชื่อว่าผลโหวตนายกฯ จะช่วยลดความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนทางการเมืองและจังหวะนี้เป็นเวลาเตรียมพร้อมรับการรีบาวด์ของตลาด อย่างน้อยๆ 1400 จุด ของ SET Index ณ สิ้นปี ต้องบอกว่าอาจจะไม่ไกลเกินเอื้อม
ภายหลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 วินิจฉัยให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากนายกรัฐมนตรีกรณีการแต่งตั้งผู้ที่ขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี SET Index ได้ทำจุดต่ำสุดของวัน (14 ส.ค.) ที่ระดับ 1280.99 จุด ก่อนจะกลับมาปิด ณ บริเวณ 1292.69 จุด อย่างไรก็ตาม ภายในช่วงเวลา 2 วัน สภาก็ได้โหวตเลือก น.ส. แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของอดีตนายกทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทยตามความคาดหมายของ CGS International
ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวบวกขึ้นมากว่า 50 จุด ณ ระดับ 1330 จุด อย่างรวดเร็ว และ ผมมีมุมมอง 3 ประการ อยากจะมาบอกเล่าให้นักลงทุนและผู้อ่านได้รับฟังกันครับ !
ประการแรก : นโยบาย
ผมและ CGS International มีมุมมองเชิงบวกต่อความรวดเร็วในการยุติสุญญากาศทางการเมืองของสภาและคาดว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่ประกอบด้วยพรรคร่วมเดิมน่าจะกลับมาเริ่มทำงานได้ภายในสองสามสัปดาห์ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยลดความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนทางการเมืองไปได้พอสมควร
มากไปกว่านั้นผมเชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่น่าจะยังคงมาตรการประชานิยมของรัฐบาลชุดเดิมหรือกล่าวคือรัฐบาลใหม่น่าจะยังคงเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเนื่องจากเป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค
และถึงแม้ว่ารัฐบาลใหม่จะตัดสินใจระงับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่ ผมเชื่อว่ารัฐบาลจะยังคงเสนอมาตรการที่มีลักษณะคล้ายกันออกมาทดแทนเพื่อแจกเงินให้กับผู้ได้รับสิทธิกลุ่มเดียวกัน อาทิ การแจกเงินสด แบบประเทศสิงคโปร์
ดังนั้นนโยบายการกระตุ้นจะยังดำเนินต่อและตลาดน่าจะมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นหากเปลี่ยนรูปแบบเป็นเงินสดเนื่องจาก 1) ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย 2) ความง่ายต่อการนำไปใช้ และ 3) การลดความซ้ำซ้อนจากการให้เงินสดแทนเงินดิจิทัล
ประการที่สอง : เศรษฐกิจ
จากรูปการณ์ของเศรษฐกิจปัจจุบันของไทยทั้ง 1) การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สองแม้จะเติบโต 2.3% yoy แต่ยังถือว่าต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับหลายประเทศเพื่อนบ้าน และ ยังเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าระดับ 3% 2) ผลกระทบจากสินค้าราคาถูกหรือแข่งขันสูงจากจีน ทั้ง รถยนต์ไฟฟ้า สินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้ยอดผลิตรถยนต์ของประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักรวมถึงการปิดตัวของโรงงานต่างๆในปี 2024 และ 3) ปัญหาหนี้ครัวเรือนและการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดมากของสถาบันการเงิน ณ ปัจจุบัน
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบันถือว่าเป็นโจทย์หินมากสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ แต่ หากมองในอีกมุมหนึ่ง ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่นั้นถือว่า “หนัก” หรือ “โคม่า”
ดังนั้นภาพนี้ก็เปรียบเสมือนกับ “ฐาน” ที่ต่ำมากเช่นกัน ซึ่งหากสามารถแก้ได้ แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ทุกประเด็นในทันที แต่ความเชื่อมั่นจะฟื้นขึ้นทันตาเห็นจากความเชื่อมั่นที่ต่ำถึงต่ำมากในปัจจุบัน
ประการสุดท้าย : ความคาดหวัง
ตลาดหุ้นคือเครื่องมือสะท้อนความคิดของผู้เล่นในตลาดได้ดีที่สุดซึ่งผมพบว่า หากแบ่งตามขนาด : SET (-8.0% YTD), SET50 (-5.7%), mai (-23.1%) และ แบ่งตามประเทศนักลงทุน หรือ นักลงทุนต่างชาติ นับตั้งแต่เปิดปี 2024 (YTD) นักลงทุนต่างชาติยังคงสถานะขายสุทธิ 1.2 แสนล้านบาท
ในแง่ของเหตุผลผู้อ่านทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าคดีใหญ่ทางการเมืองกดดันหุ้นไทยมาตั้งแต่กลางปี และ ด้วยภาพปัจจุบันที่หลายปัจจัยคลี่คลาย
ผมเชื่อว่าผลโหวตนายกฯ จะช่วยลดความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนทางการเมืองและจังหวะนี้เป็นเวลาเตรียมพร้อมรับการรีบาวด์ของตลาด อย่างน้อยๆ 1400 จุด ของ SET Index ณ สิ้นปี ต้องบอกว่าอาจจะไม่ไกลเกินเอื้อมหรือมีลุ้นครับ !