Riding the AI Wave: Leading Phase I of Global Disruption

Riding the AI Wave: Leading Phase I of Global Disruption

การปรับฐานของตลาดหุ้นทั่วโลกและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในปัจจุบัน จากความกังวลของนักลงทุนต่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง รวมถึงการขายทำกำไรเพื่อปรับพอร์ตการลงทุนก่อนการประชุมเฟดในวันที่ 17-18 ก.ย. 2024 ซึ่งเป็นรอบการประชุมที่คาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมและเป็นบวกต่อตลาดการลงทุน

นับจากการเปิดตัว Chat GPT ซึ่งปัจจุบันเป็น Generative AI ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกในเดือน พ.ย. 2022 จำนวนผู้ใช้งาน ณ สิ้นเดือน ส.ค. 2024 อยู่ที่ 180.5 ล้านคนทั่วโลก โดยเพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีราว 80 ล้านคน หรือ +80%YTD เช่นเดียวกับ Chat GPT จำนวนผู้งาน Generative AI อื่นๆ อาทิ Copilot ของ Microsoft, Claude.AI ของ Anthropic และ Gemini AI ของ Google เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนการใช้งาน Generative AI ในวงกว้างในระดับบุคคล สำหรับผู้ประกอบการหรือภาคธุรกิจ ปัจจุบันเริ่มมีการใช้งานที่หลากหลายในแต่ละอุตสาหกรรม 

ยกตัวอย่างเช่น บริษัทผู้ผลิตในอุตสาหกรรมพลังงานอย่าง ExxonMobil ใช้ AI algorithms เป็นหนึ่งในตัวช่วยสำหรับพยากรณ์การซ่อมบำรุง โดยมีวัตถุประสงค์ในการลดช่วงเวลาที่เครื่องหยุด (Downtime) และช่วยประหยัดพลังงาน อุตสาหกรรมการเงิน อย่าง JPMorgan Chase ใช้ AI เป็นหนึ่งในตัวช่วยในการวิเคราะห์ธุรกรรมที่อาจมีปัญหาหรือมีข้อควรสงสัย อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติก อาทิ FedEx ใช้ AI เป็นหนึ่งในตัวช่วยสำหรับการวิเคราะห์เส้นทางการขนส่ง, กระบวนการขนส่ง และการใช้พลังงานสำหรับการขนส่ง เป็นต้น โดยรวมการใช้งานของ AI ในภาคธุรกิจมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงประสิทธิการดำเนินงาน จากตัวอย่างที่เราได้กล่าวมาจะพบว่า การใช้งาน AI กำลังเพิ่มขึ้นทั้งในระดับบุคคลและภาคภาคเอกชน

สำหรับนักลงทุนสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ คือ ปัจจุบันธุรกิจใน Supply Chain ของ AI เข้าใกล้ภาวะฟองสบู่หรือยัง? การพัฒนา-ใช้งานของ AI อยู่ใน Phase ใด สำหรับประเด็นแรกเกี่ยวกับการลงทุนในกลุ่ม AI และการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น อ้างอิงจากการศึกษาของ Goldman Sachs Securities ในบทวิเคราะห์ “GLOBAL STRATEGY, AI: To buy, or not to buy, that is the question” as of 5 September 2024 โดยคุณ Peter Oppenheimer, Chief Global Equity Strategist & Head of Macro Research Europe, Goldman Sachs และทีมงาน ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ในครั้งนี้ว่าเป็นการปรับตัวขึ้นอย่างมีเหตุผล เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ในขณะที่ AI ยังไม่เข้าสู่ภาวะฟองสบู่ 

อย่างไรก็ตาม การกระจายการลงทุนมีความสำคัญ ในด้านการประเมินมูลค่าของหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม AI ที่สำคัญ อาทิ กลุ่ม Magnificent 7 (Apple, Microsoft, NVIDIA, AMAZON, Alphabet, Meta Platform และ Tesla) ปัจจุบัน Goldman Sachs ประเมิน 24 Month Forward P/E ของกลุ่มที่ 23.9X เทียบกับช่วงวิกฤติภาวะฟองสบู่ดอตคอมในหุ้นตัวนำของกลุ่มเทคโนโลยี Tech Bubble Leaders ปี 2000 (Microsoft, Cisco System, Intel, Oracle, IBM, Lucent และ Nortel Networks) มีระดับ P/E ที่ 52x ดังนั้นราคาของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในปัจจุบันนับว่าถูกกว่า นอกจากนั้นในด้านปัจจัยพื้นฐานและอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ อาทิ ระดับเงินสด, อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น, อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และความสามารถในการทำกำไรอย่าง Net Income Margin ของหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 มีความแข็งแกร่งกว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในอดีตช่วงวิกฤติฟองสบู่ดอตคอม อย่างมีนัยสำคัญ 

การลงทุนเพื่อพัฒนา AI ของบริษัทขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2020-2026E อ้างอิงจากการศึกษาของ Goldman Sachs Securities ในบทวิเคราะห์ “Gen AI Part 8 : Catalyst or Culprit?” as of 25 August 2024 สำหรับการศึกษานี้ แบ่งการลงทุนใน Generative AI เป็น 3 Phase สำหรับ Phase 1 คือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกลุ่มบริษัทจดทะเบียนสำคัญที่ได้ประโยชน์ อาทิ NVIDIA, AMD, Amazon, Google, Microsoft และ Oracle เป็นต้น ถัดมาคือ Phase 2 การพัฒนา Platform บริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวข้อง อาทิ Datadog, Mongo DB, Microsoft และ Snowflake เป็นต้น ส่วน Phase ที่ 3 การพัฒนา Application บริษัทที่เกี่ยวข้อง อาทิ Adobe, CRM, Microsoft, และ ServiceNow เป็นต้น หากพิจารณาจากงบลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่ใน AI ในปัจจุบัน อาทิ Google, Amazon, Microsoft, Meta, Oracle เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะลงทุนไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเนื่องในปี 2024-2025 เทียบกับช่วงปี 2020-2023 ที่มีการลงทุนรวมที่ 7.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, 9.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, 1.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 1.33 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ กล่าวคือมีแนวโน้มการลงทุนในปี 2024-2025 เพิ่มขึ้นกว่า 2-3 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2020 ที่ AI ยังไม่ถูกใช้งานในวงกว้าง 

การปรับฐานของตลาดหุ้นทั่วโลกและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในปัจจุบัน จากความกังวลของนักลงทุนต่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง รวมถึงการขายทำกำไรเพื่อปรับพอร์ตการลงทุนก่อนการประชุมเฟดในวันที่ 17-18 ก.ย. 2024 ซึ่งเป็นรอบการประชุมที่คาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมและเป็นบวกต่อตลาดการลงทุน จากระดับการประเมินมูลค่าหรือ Valuation ที่ลดความตึงตัวลง ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสจะเข้าสู่ภาวะ Soft Landing มากกว่า และยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่วิกฤติหรือถดถอยในลักษณะ Hard Landing จากเหตุผลที่ได้กล่าวมาข้างต้นเราจึงมองว่าความผันผวนที่เกิดขึ้นและการปรับฐานในระยะสั้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในปัจจุบัน เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนครั้งใหม่