จุดเปลี่ยนของตลาดการลงทุนโลก และเป้าหมายถัดไปสำหรับการลงทุนก่อนเข้าสู่ปี 2025
การลงทุนในช่วง 4Q24-2025 ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย (Emerging-Frontier Market) มีความน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วด้วยเหตุผลแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจสูง รวมถึงการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน
ในปัจจุบันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงสดใส โดยนักลงทุนยังอยู่ในโหมดเปิดรับความเสี่ยง (Risk-on) เพราะยังมองตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ได้ทยอยปรับราคาเป้าหมายของดัชนีตลาดหุ้นขึ้น และตลาดหุ้นหลักของโลกอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น สะท้อนผ่านผลตอบแทนของตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลก ณ วันที่ 8 ต.ค. 2024 อาทิ ดัชนี S&P 500 Index +20%YTD, NIKKEI 225 Index +17%YTD, CSI300 Index +24%YTD และ HSI Index +22%YTD จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นจีน ที่เคย Underperform ตลาดหุ้นอื่นๆ ในช่วงต้นปีฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตามความคาดหวังของนักลงทุนต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนหลังการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในวันที่ 24 ก.ย. 2024 ซึ่งในมุมมองของ Pine Wealth Solution การฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ช่วยจำกัด Downside Risk ของตลาดหุ้นโลก
ในมุมของภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน นับว่าดีกว่าที่นักวิเคราะห์และคณะกรรมการการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกเคยประเมินในช่วงต้นปี พิจารณาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงเดือน ก.ย. 2024 ช้ากว่าที่เคยประเมินจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในช่วง 1H24 สำหรับวัฏจักรขาลงของดอกเบี้ยในรอบปัจจุบัน เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังขยายตัว นอกจากนั้นก่อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของธนาคารกลางขนาดใหญ่ อาทิ ECB และ Fed ในปี 2024 อัตราดอกเบี้ยนโยบายนับว่าสูงที่สุดในรอบ 1 ทศวรรษ แต่เศรษฐกิจโลกโดยรวมในปี 2023 - 2024 ยังขยายตัวได้ดี ในอดีตนับตั้งแต่ปี 1982 - 2019 หรือ 6 ครั้ง หลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ถึง 4 ครั้งหรือ 66.67% และไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (Non-Recession) 2 ครั้ง หรือ 33.33%
สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันในปี 2024-2026 เราคาดว่าเศรษฐกิจโลกและ เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย แต่จะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงหรือ Soft Landing สะท้อนโดยตัวเลขเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันตลอดปี 2024 ซึ่งนับเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ยาก และจะเป็นบวกต่อการลงทุนในหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะตลาดหุ้นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่หรือ Emerging Market
การลงทุนในช่วง 4Q24-2025 ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย (Emerging-Frontier Market) มีความน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วด้วยเหตุผลดังนี้
1. แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจสูงกว่า อ้างอิงการศึกษาของ IMF ในเดือน ก.ค. 2024 ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียปี 2024-2025 กลุ่ม Emerging and Developing Asia ซึ่งประกอบไปด้วย จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, ไทย, เวียดนาม และอื่นๆ เติบโต 5.4% และ 5.1% ตามลำดับ เทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจกลุ่มพัฒนาแล้วหรือ Advanced Economies ที่เติบโตเพียง 1.7% และ 1.8% ตามลำดับ
2. แนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนสูงกว่า อ้างอิงข้อมูลจาก Bloomberg Consensus ณ วันที่ 8 ต.ค. 2024 ประเมินการเติบโตของกำไร (EPS Growth) ปี 2024-2025 ของดัชนี MSCI Emerging Asia Index ที่ 15.2%YoY และ 15.1%YoY เทียบกับการเติบโตของกำไรดัชนี MSCI World (ตัวแทนของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว) มี EPS Growth ที่ 4.0%YoY และ 11.1%YoY ตามลำดับ
3. การประเมินมูลค่าหรือ Valuation ของตลาดหุ้นกลุ่ม Emerging Asia ถูกกว่า มีโอกาสปรับขึ้นได้มากกว่าหลังการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed และธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก สำหรับ 12 Month Forward P/E ของดัชนี MSCI Emerging Asia Index ณ วันที่ 8 ต.ค. 2024 อยู่ที่ 14.23X เทียบกับ 12 Month Forward P/E ของดัชนี MSCI World ที่ 19.62X นอกจากนั้นหากพิจารณาจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นก่อน-หลังการลดดอกเบี้ยของ Fed ครั้งแรกจะพบว่า
· หนึ่งปีก่อนการลดดอกเบี้ยครั้งแรกของ Fed (18 ก.ย. 2023- 18 ก.ย. 2024) อัตราผลตอบแทนของดัชนี MSCI Emerging Asia Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 15.9% ในขณะที่ดัชนี MSCI World ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 25.23% ตามลำดับ
· หลังการลดดอกเบี้ยครั้งแรกของ Fed (19 ก.ย.-7 ต.ค. 2024) อัตราผลตอบแทนของดัชนี MSCI Emerging Asia Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.0% ในขณะที่ดัชนี MSCI World ทรงตัวโดย -0.2% ตามลำดับ
จากปัจจัยสนับสนุนข้างต้นเราจึงประเมินว่าตลาดหุ้นในกลุ่ม Emerging Asia-Frontier Market (Asia) มีความน่าสนใจในการลงทุนมากกว่าและเหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว โดยเราแนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนสูงและมีจุดยืนที่ดีท่ามกลางความแย้งทางด้านภูมิรัฐศาตร์โลก อาทิ ตลาดหุ้นเวียดนามและอินเดีย ซึ่งเรามองว่าเป็น 2 ประเทศที่มีความโดดเด่นและเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนในปีนี้ต่อเนื่องถึงปี 2025 และเป็นกลุ่มประเทศที่มี Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้า อ้างอิงข้อมูลของ Bloomberg นับตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.ย. 2024 เริ่มจากอินเดียที่มีแรงซื้อสะสมใน ETF ของหุ้นราว 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนเวียดนาม เริ่มเห็นจุดเปลี่ยนของ Fund Flow แม้ในช่วง 9 เดือนแรกจะมีแรงขายสุทธิใน ETF ที่ 784 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ล่าสุดในเดือน ต.ค. (1-7 ต.ค. 2024) นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิใน ETF หุ้นเวียดนามราว 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะถัดไปหากตลาดหุ้นเวียดนามถูกปรับสถานะจากตลาดชายขอบสู่ตลาดเกิดใหม่ในช่วง 1Q25 เราคาดว่าแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการศึกษาของ BVSC Research บทความ Vietnam-Market upgrade (September 2024) คาดตลาดหุ้นเวียดนามมีโอกาสจะถูกปรับเข้าเกณฑ์ของตลาดเกิดใหม่ตามมาตรฐานของ FTSE ในช่วง 1Q25