การนำมาตรฐาน ISSB มาใช้ในประเทศไทยและการเตรียมพร้อมของบริษัทจดทะเบียน

มาตรฐาน ISSB ที่ออกมาในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 2 ฉบับ คือ (1) IFRS S1 เรื่องข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืน และ (2) IFRS S2 การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะถือเป็นส่วนหนึ่งของรายงานทางการเงินที่ต้องนำเสนอให้แก่ผู้ใช้งบการเงิน
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ดีลอยท์ได้รับคำถามจากทางลูกค้าและบริษัทต่างๆจำนวนมากเกี่ยวกับมาตรฐาน The International Sustainability Standards Board (ISSB) โดยส่วนใหญ่จะเป็นในเรื่องระยะเวลาที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในประเทศไทย ผลกระทบต่อบริษัทในการรายงานข้อมูลดังกล่าว รวมไปถึงความยุ่งยากและซับซ้อนในการจัดเตรียมข้อมูลเพิ่มเติมจากรายงานประจำปีเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน เป็นต้น ในประเทศไทยเริ่มมีแนวทางการบังคับใช้จากทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) โดยจะเริ่มบังคับใช้ ISSB สำหรับข้อมูลในปี พ.ศ.2569 และรายงานในปีถัดไป (พ.ศ.2570) โดยเริ่มจากกลุ่มบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ในดัชนี SET50 และครอบคลุมทุกบริษัทในปี พ.ศ.2573 (รายงานในปี พ.ศ. 2574)
มาตรฐาน ISSB ที่ออกมาในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 2 ฉบับ คือ (1) IFRS S1 เรื่องข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับความยั่งยืน และ (2) IFRS S2 การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะถือเป็นส่วนหนึ่งของรายงานทางการเงินที่ต้องนำเสนอให้แก่ผู้ใช้งบการเงิน มีหลักการสำคัญ 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
(1) การกำกับดูแล (Governance) เป็นการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการกำกับดูแลประเด็นด้านความยั่งยืนที่สำคัญของคณะกรรมการและผู้บริหาร ว่ามีขั้นตอน วิธีการ ในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวจากความยั่งยืน รวมถึงการกำกับดูแลและติดตามผล และดัชนีชี้วัดว่าเป็นไปตามเป้าหมายขององค์กรหรือไม่
(2) กลยุทธ์ (Strategy) เป็นการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์ของกิจการทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนผ่าน ความเสี่ยงและโอกาสต่างๆ ผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศต่อฐานะการเงินของบริษัท รวมไปถึงการปรับโมเดลธุรกิจและห่วงโซ่คุณค่าของกิจการให้สอดรับกับแผนกลยุทธ์ในการรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่ไม่แน่นอนในอนาคต
(3) การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) เป็นการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและกระบวนการที่ใช้ในการระบุ ประเมิน และบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ และเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยงองค์กร
(4) ตัวชี้วัดและเป้าหมาย (Metrics and Targets) เป็นการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการติดตาม วัดผล ประเมินผลดำเนินงานและความคืบหน้าของกิจกรรมที่สำคัญเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งอาจรวมถึงการริเริ่มกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กรและการวางงบประมาณเพื่อใช้ในลดผลกระทบของสภาพภูมิอากาศต่อการดำเนินงานขององค์กร
สำหรับประเทศไทย ทางสำนักงาน กลต. อยู่ระหว่างการนำข้อกำหนดในมาตรฐานดังกล่าวมาผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดเผยข้อมูลในแบบรายงานประจำปี 56-1 One report เพื่อยกระดับการเปิดเผยข้อมูลด้านด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนให้มีความทัดเทียมกับสากล โดยจะมีเนื้อหาเชิงลึกและมีรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศที่มากกว่าฉบับปัจจุบัน ครอบคลุม 4 หัวข้อหลักตามมาตรฐาน ISSB ได้แก่ การกำกับดูแล กลยุทธ์ การบริหารความเสี่ยง และเป้าหมายและตัวชี้วัด โดยจะมีระยะเวลาให้บริษัทในการเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดเก็บข้อมูล
นอกจากนี้ยังจะมีมาตรการผ่อนปรนในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน (transition relief) ตัวอย่างเช่น การยกเว้นการเปรียบเทียบข้อมูลปีก่อนหน้าในปีแรกที่มีการเปิดเผยข้อมูล การอนุญาตให้บริษัทเปิดเผยเฉพาะข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศก่อน แทนการเปิดเผยประเด็นด้านความยั่งยืนที่มีสาระสำคัญ หรือยกเว้นการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 3 ในช่วง 5 ปีของระยะเวลาผ่อนปรนเป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีเวลาปรับตัวและเตรียมความพร้อมสำหรับการบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในอนาคต
ดีลอยท์ขอเสนอ 3 ข้อแนะนำสำหรับบริษัท ในการเตรียมความพร้อม ดังนี้
1. ประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน มาตรฐาน ISSB กำหนดให้เปิดเผยข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านความยั่งยืนที่สำคัญต่อกิจการทั้งหมด ไม่เฉพาะแต่ประเด็นเรื่องสภาพภูมิอากาศเท่านั้น ดังนั้นบริษัทต้องมีการประเมินว่าประเด็นความยั่งยืนใดที่มีผลกระทบต่อฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน และกระแสเงินสดของกิจการ เพื่อจะได้ทราบถึงหัวข้อที่จะต้องเปิดเผยข้อมูลต่อไป
2. จัดเตรียมข้อมูลและระบบงาน ข้อกำหนดของมาตรฐานนี้จะเน้นการให้ข้อมูลที่เข้มข้นกว่าในรายงานประจำปี 56-1 One report ดังนั้นบริษัทต้องเข้าใจถึงข้อมูลที่ต้องจัดเก็บซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นความยั่งยืน เช่น ผลการดำเนินงานของตัวชี้วัดต่างๆ ที่สะท้อนถึงการบริหารจัดการในแต่ละประแด็น และพิจารณาถึงระบบงานที่ใช้จัดเก็บข้อมูลที่ได้มาตรฐาน สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้อย่างเหมาะสม เช่นเดียวกับระบบงานบัญชีของบริษัท
3. เชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับรายงานทางการเงิน เป้าหมายหลักของมาตรฐานนี้คือต้องการให้ข้อมูลกับผู้ใช้งบการเงินเพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบของประเด็นความยั่งยืนที่มีต่อฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน และกระแสเงินสดของกิจการทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ดังนั้นบริษัทต้องมีการประเมินว่าหากผลกระทบดังกล่าวส่งผลทางการเงินต่อกิจการในปัจจุบัน ก็จะต้องสะท้อนเข้าไปในงบการเงินที่กิจการนำเสนอให้กับผู้ใช้งบการเงินในงวดปัจจุบันด้วย แต่หากผลกระทบดังกล่าวคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต บริษัทก็ต้องประเมินเชิงปริมาณที่เหมาะสมว่าผลกระทบดังกล่าวคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดและผลกระทบต่องบการเงินเท่าไหร่ ซึ่งบริษัทมีความจำเป็นในการสร้างแบบจำลองเพื่อใช้ในการวิเคราะห์อย่างถูกต้องเหมาะสม