ปรับฐานปี 2025 เมื่อหุ้น 7 นางฟ้า เปลี่ยนเป็น 7 ผู้ประสบภัย

การปรับฐานของตลาดครั้งนี้มีสาเหตุหลักมาจากสองเรื่อง คือ ระดับราคาเริ่มต้นที่สูงเกินไป ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานมีแนวโน้มแย่ลงจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า
นักลงทุนระดับตำนานอย่าง Howard Marks กล่าวไว้ว่า “การปรับฐานก็เหมือนฤดูหนาว นักลงทุนอาจไม่สบาย แต่มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และจำเป็น”
ปี 2025 เป็นปีที่ฤดูหนาวของตลาดมาเร็วกว่าที่คิดเมื่อ เดือนมีนาคม กลายเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐาน (Correction) ครั้งแรก ตั้งแต่ Donald Trump เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐรอบที่สอง
การปรับฐานครั้งนี้ เป็นการปรับตัวลง 10% เร็วที่สุดอันดับ 11 นับตั้งแต่ปี 1928 มองโลกในแง่ดี อาจหมายความว่าเหตุการณ์นี้ เริ่มเร็วและคงจบเร็ว แต่ถ้ามองโลกในแง่ร้าย อาจตีความได้ว่าการปรับตัวลงของตลาดที่รวดเร็วเกิดจากมหันตภัยที่ถาโถมเข้าใส่ตลาด
นักลงทุนไทย จึงต้องประเมินให้ออกว่าเหตุผลของการปรับฐานครั้งนี้คืออะไร และโอกาสของการลงทุนอยู่ที่ไหน
ในมุมมองของผม ประเด็นที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐเข้าสู่ภาวะ Correction ครั้งนี้เกิดจากการกลับตัวของ Profit, Policy และ Position พร้อมกัน
ดัชนี S&P 500 ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 6144 จุดในวันที่ 19 มี.ค. หลังจากนั้นก็เริ่มปรับตัวลงเมื่อ Walmart บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ ส่งสัญญาณว่ายอดขายและกำไรจะเติบโตช้าลงในปี 2025
ตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงรายวันของนโยบายภาษีการค้า ที่ Trump ส่งสัญญาณว่าจะขึ้นภาษีการค้ากับแคนาดา 25% ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีข่าวการเจรจาและคาดว่าจะเลื่อนการเก็บภาษีออกไปก่อน
ขณะที่นักลงทุนทั่วโลกช่วงนั้น แทบทุกคนมีหุ้นสหรัฐอยู่เต็มพอร์ต เมื่อ Profit และ Policy พลิกกลับมาเป็นแรงกดดัน การปรับฐานช่วง Peak Position จึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงอย่างที่เห็น
ประเด็นที่น่าสนใจต่อมา คือการที่ Magnificent 7 กลายเป็นผู้ประสบภัย
นับจากระดับราคาสูงสุด หุ้น Magnificent 7 ปรับตัวลงไปแล้วถึง 21%
แย่ที่สุดในกลุ่มคือ Tesla ร่วงลงถึง 53% แม้หุ้นที่ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดน้อยที่สุดอย่าง Microsoft ก็ยังติดลบถึง 18%
เหตุผลสำคัญมากจากระดับ Valuation โดยรวมของกลุ่มที่จุดพีค วัดโดย Long-term P/E สูงถึง 94x เป็นรองเพียงช่วงพีคของ Covid Lockdown (110x) ขณะที่รายงานกำไรของหุ้นที่เติบโตสูงที่สุดอย่าง Nvidia ไม่ได้กลับไปเร่งตัวขึ้น
พร้อมกับจังหวะการเปิดตัวของ DeepSeek AI จากจีน ที่สร้างคำถามว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐกำลังลงทุนมากเกินไปหรือไม่ ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดของ AI อาจมีบริษัทจีนเข้ามาชิงส่วนแบ่ง ทำให้มุมมองของตลาดกลับทิศในทันที
มาถึงตรงนี้ นักลงทุนคงเริ่มเห็นภาพแล้วว่า Correction ครั้งนี้ มีทั้งจากปัจจัยพื้นฐานและระดับราคา
คำถามสำคัญต่อจากนี้ คือระดับดัชนี S&P 500 เป้าหมายควรอยู่ที่จุดไหน และอะไรจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ตลาดกลับเป็นขาขึ้น
กรณีแรก พื้นฐานไม่เปลี่ยน เปลี่ยนเพียง Valuation ที่เหมาะสม
สมมุติฐานสำหรับกรณีนี้คือการเก็บภาษีการค้าไม่เกิดขึ้นจริง เศรษฐกิจสหรัฐไม่ชะลอตัว ส่งผลให้ระดับกำไรของ S&P 500 ในปีนี้ไม่เปลี่ยนแปลงที่ 270 ดอลลาร์ แต่ระดับ P/E เป้าหมายลดลงไปเท่ากับค่าเฉลี่ยช่วง 5ปีที่ผ่านมาที่ 22x จะได้ระดับเป้าหมายใหม่ที่ 5940จุด มี upside จากปัจจุบันราว 5%
กรณีที่สอง เป้าหมายดัชนี 5600 จากพื้นฐานและระดับราคาที่ปรับตัวลงทั้งคู่
จากการรวบรวมผลการวิเคราะห์นโยบายการค้าของ Trump จากนักกลยุทธ์การลงทุนฝั่งสหรัฐ พบว่าการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากทั่วโลก 10% จะกดดันให้ EPS ของตลาดลดลงราว 2-5% ขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ 1% จะกดดันให้ EPS ของตลาดลดลงอีกราว 2-3% รวมกันจะส่งผลให้ระดับกำไรใน 12เดือนข้างหน้า ของ S&P 500 ลดลงเหลือ 254 ดอลลาร์ คิดเป็นการเติบโตราว 3%จากปีก่อน เมื่อคำนวณร่วมกับ P/E ที่ 22x จะได้ระดับเป้าหมายราว 5600จุด ใกล้เคียงกับระดับปัจจุบัน
ส่วนในกรณีเลวร้ายคือ Correction นำไปสู่ Bear Market
แม้ในอดีต Correction ส่วนมากจะมีผลตอบแทนติดลบเพียง 10-20% ถ้าไม่อยู่ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย แต่ในอดีต 59 Corrections ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1930 มีถึง 44% ที่เป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า
และ 17ครั้ง นำไปสู่ Bear Market ที่ดัชนีปรับตัวลงจากจุดสูงสุดมากกว่า 20% คิดเป็นดัชนีที่ระดับ 4920 จุด
โดยสรุป ผมมองว่าการปรับฐานของตลาดครั้งนี้มีสาเหตุหลักมาจากสองเรื่อง คือ ระดับราคาเริ่มต้นที่สูงเกินไป ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานมีแนวโน้มแย่ลงจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า
อย่างไรก็ดี ผมเชื่อว่าโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยยังไม่มาก และหุ้นสหรัฐจะสามารถกลับมาได้เมื่อระดับราคาเหมาะสม หรือนโยบายการค้ามีความชัดเจนครับ