“ทักษิณ” กับ “จำนำข้าวภาค 2” ดับฝันเพื่อไทย “แลนด์สไลด์”?

“ทักษิณ” กับ “จำนำข้าวภาค 2” ดับฝันเพื่อไทย “แลนด์สไลด์”?

คงจำกันได้ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย “ดี๊ด๊า” กับสโลแกน ที่คนแดนไกลจัดให้ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” แล้วก็ได้ผล ปรากฏว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชนะเลือกตั้งแบบ “ถล่มทลาย” หรือ “แลนด์สไลด์”

กล่าวคือได้ส.ส.ถึง 265 ที่นั่ง เป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ไทยเท่านั้น ที่พรรคการเมืองเดียวจะได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเกินกว่าครึ่ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นกับพรรคไทยรักไทยของ “ทักษิณ ชินวัตร”

ทั้งที่ “ยิ่งลักษณ์” ถูกมองว่า “ละอ่อนทางการเมือง” แต่เพราะเป็น “นอมินี(ตัวแทน)” ของ “ทักษิณ” คนรากหญ้า จึงเชื่อว่า “ทักษิณ” จะต้องมีส่วนบริหารรัฐบาล “อยู่เบื้องหลัง” ประกอบกับกระแส “คนเสื้อแดง” หลังเหตุการณ์ถูกปราบปรามเมื่อปี 2553 ที่ความไม่พอใจฝ่ายตรงข้ามยังคุกรุ่น ทำให้คนเสื้อแดง และ “คนรากหญ้า” ต่างเทคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทย

ใครจะคิดว่า วันนี้สิ่งที่ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” หนึ่งในนั้นก็คือ นโยบายจำนำข้าวทุกเม็ด จะกลายเป็น “มหากาพย์” ภาคหนึ่งจบลงแล้ว ก็ยังมีต่อ “ภาคสอง” ซึ่งภาคนี้ นัยว่า “ทักษิณ” และ “เจ๊แดง” - เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” น้องสาวอีกคนของ “ทักษิณ” มีชื่อติดร่างแหด้วย

“แปลกไหม มีสิ่งหนึ่ง ที่นายทักษิณ เคยคุยโอ้อวดไว้เยอะ ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติอย่าง Forbes นั่นคือเรื่องจำนำข้าว เขาเคยให้สัมภาษณ์ ว่านโยบายนี้ เขาเป็นคนคิด พรรคเพื่อไทยเอาไปทำ

หลังจากที่เขาให้สัมภาษณ์ Forbes 30 ตุลาคม2555 เรื่องจำนำข้าว ก็เริ่มมีข่าวเรื่องการทุจริตจำนำข้าว มีข่าวซุบซิบหนาหู ในวงการค้าข้าวว่า นายทักษิณเคยบอก กับชาวต่างชาติที่ต้องการซื้อข้าวไทย ให้ติดต่อเสี่ยเปี๋ยง

จนกระทั่งนำไปสู่การอภิปราย ไม่ไว้วางใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในเดือนพฤศจิกายน 2555 หลังจากนั้น เท่าที่ติดตามดู เรื่องจำนำข้าว น่าจะเป็นเรื่องเดียว ที่ทักษิณไม่ค่อยพูดถึงอีกเลย...” ข้อความบางตอนที่ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เจ้าของฉายามือปราบจำนำข้าว (ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคประชาธิปัตย์) โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก วรงค์ เดชกิจวิกรม - Warong Dechgitvigrom

 

ทั้งนี้ ในเพจเฟซบุ๊กเดียวกัน ยังสรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับคดีจำนำข้าวเอาไว้อย่างน่าสนใจ

“เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ในคดีจำนำข้าวภาคแรก และภาคสอง ผมขอเท้าความเรื่องเดิม ของคดีโกงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์

จำนำข้าวภาคแรก เป็นการดำเนินคดีสองคดี ควบคู่กันไปคือ

1.คดีจำนำข้าวของนางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ (กขช.)

ศาลได้พิจารณาความผิด ในขั้นตอนต้นน้ำ หมายถึง การรับรองเกษตรกร และนำข้าวเปลือกเข้าจำนำที่โรงสี และขั้นตอนกลางน้ำ คือการที่สีแปรข้าวเปลือก เป็นข้าวสาร และนำมาเก็บไว้ในโกดัง มีการทุจริตกันทุกขั้นตอน ทั้งซื้อใบประทวน สวมสิทธิ์ ข้าวเสื่อม ข้าวเน่า มีนั่งร้านซุกในกองข้าว ศาลถือเป็นความผิด ในระดับปฏิบัติ ยิ่งลักษณ์ไม่ต้องรับผิด

ส่วนขั้นตอนปลายน้ำ คือการระบายข้าวแบบจีทูจี ศาลถือว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่ระงับยับยั้ง จึงถือว่า เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 123/1

2.คดีระบายข้าวแบบจีทูจี นายบุญทรง (เตริยาภิรมย์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ (สาระผล) รัฐมนตรีช่วยฯ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เสี่ยเปี๋ยง และคณะ ถูกดำเนินคดี

โดยศาลได้พิจารณาว่า คดีที่อ้างระบายข้าวแบบจีทูจี แต่มีการทุจริต ด้วยการชำระค่าข้าวด้วยแคชเชียร์เช็คภายในประเทศ และรับมอบข้าวไปขายต่อภายในประเทศ โดยไม่มีการส่งข้าวออกไปยังประเทศอื่น และศาลได้ตัดสินจำคุกนายบุญทรง 42 ปี ตอนหลังอุทธรณ์ ปรับเป็น 48 ปี นายภูมิ 36 ปี เสี่ยเปี๋ยง 48 ปี

ทั้งสองคดี หรือเรียกจำนำข้าวภาคหนึ่ง เป็นผลพวงจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นางสาวยิ่งลักษณ์ 25 พฤศจิกายน 2555 จนกระทั่ง มีการนำเรื่องดังกล่าว ไปร้องต่อป.ป.ช. และมีการขยายผล

หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ปรับนายบุญทรงออก ยังคงให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต่อเนื่องมาอีกประมาณ 7 เดือน กว่าจะปรับออกคือ ปลายเดือน มิถุนายน 2556

การที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่มีการปรับนายบุญทรงออก ยังคงให้ปฏิบัติภารกิจต่ออีกร่วม 7 เดือน จึงพบว่า ช่วงที่นายบุญทรงเป็นรัฐมนตรี ต่อเนื่องนี้ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ยังคงมีการระบายแบบจีทูจีเก้อีก ชนิดไม่เกรงกลัวกฎหมาย (เหมือนมีภารกิจต้องทำให้เสร็จ) จึงเป็นที่มาของจำนำข้าวภาคสอง ที่ป.ป.ช.จะชี้มูลเร็วๆ นี้”

อย่างไรก็ตาม ด้านหนึ่งที่น่าสนใจ และเป็นกระแสข่าวตามมาก็คือกรณี ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา(2 เมษายน 2564) ให้เพิกถอนคำสั่ง กระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 ที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว จำนวน 20% หรือประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท ของความเสียหายทั้งหมด 1.78 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังให้เพิกถอนคำสั่งของกรมบังคับคดี กับพวกที่ออกคำสั่ง หรือประกาศใดๆ ที่ดำเนินการเกี่ยวกับการอายัดทรัพย์สิน น.ส.ยิ่งลักษณ์และสามี

ผลของคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ทำให้ฝ่ายที่สนับสนุนน.ส.ยิ่งลักษณ์ หยิบเอาไปเป็นประเด็นทางการเมืองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ผิด แถมไปไกลถึงขั้นขอให้ “คืนความเป็นธรรม” ให้กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วย

ขณะที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่ศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าเสียหายคดีทุจริตโครงการจำนำข้าว 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ยึดอายัดทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แล้วบางส่วน และอยู่ระหว่างดำเนินการยึดต่อ แต่เมื่อศาลปกครองกลางมีคำสั่งออกมาเช่นนี้ กระบวนการทุกอย่างก็ต้องหยุดไว้ก่อน

“จากนี้รัฐบาลจะยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน”

เรื่องนี้ นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ยิ่งลักษณ์ จ่ายไม่ต้องจ่ายชดเชยจำนำข้าว ยังต้องรอลุ้นศาลปกครองสูงสุด แต่ที่ไม่ต้องลุ้น คือนารีขี่ม้าขาวไม่มีจริงมีแต่นารีหนีคุก” อธิบายว่า

คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ยังไม่ถึงที่สุด คู่ความยังสามารถอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ได้ภายใน 30 วัน แต่สามารถยื่นขยายเวลาออกไปได้ถ้ายื่นไม่ทัน ดังนั้นคำพิพากษาศาลปกครองกลาง อาจถูกกลับหรือยกโดยคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องรอดูต่อไปว่า เมื่อมีการยื่นอุทธรณ์แล้ว ศาลปกครองสูงสุด จะมีคำพิพากษาว่าอย่างไร ทั้งสองฝ่ายก็อย่าเพิ่งตีโพยตีพาย เอะอะ โวยวาย หรือดีใจกันออกนอกหน้าเลยครับ คำพิพากษาศาลชั้นต้นถูกกลับโดยคำพิพากษาศาลสูง มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ

“ที่สำคัญ คือ คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ไม่สามารถลบล้าง ความผิดที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก่อความเสียหายให้กับประเทศ ฐานไม่ระงับยับยั้งความเสียหายจากโครงการจำนำข้าวได้

โดยข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนว่า โครงการนี้ ใช้กรอบวงเงินเกิน 5 แสนล้านบาท ที่ครม.มีมติอนุมัติเป็นกรอบเอาไว้ นอกจากนี้ ยังเกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง ระบายข้าวไม่ได้ ทำให้รัฐขาดทุน ไม่มีเงินจ่ายชาวนา จนมีชาวนาหลายสิบคนต้องผูกคอตาย ซึ่งคำพิพากษาศาลฎีกา ยังระบุด้วยว่า ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นโยบายดังกล่าวขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีการทุจริตเกิดขึ้นในทุกขั้นตอน แม้ว่าบางขั้นตอนอยู่ในฝ่ายปฏิบัติ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธาน กขช. กลับไม่รับฟังข้อท้วงติงของหลายฝ่าย จนเกิดความเสียหายต่อรัฐ และยังมีกรณีระบายข้าวแบบจีทูจีโดยทุจริต แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับไม่ดำเนินการสั่งตรวจสอบอย่างจริงจัง หรือเข้มข้นเหมือนตอนตรวจสอบกรณีจำหน่ายข้าวถุงราคาถูกแก่ประชาชน ศาลฎีกาจึงมีคำพิพากษาสั่งจำคุกนางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นเวลา 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา นี่คือข้อเท็จจริง...”

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น (9 พฤศจิกายน 2565) สืบเนื่องจากกรณี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2565 จะมีคดีเกี่ยวกับนักการเมืองคนสำคัญเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่

จากนั้น สำนักข่าวอิศรา อ้างแหล่งข่าวจาก “สำนักงาน ป.ป.ช.” เปิดเผยว่า หนึ่งในคดีสำคัญที่จะมีการนำเสนอเรื่องให้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ พิจารณาผลการไต่สวนในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2565 คือ คดีทุจริตการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ภาค 2 ที่มีนักการเมืองคนสำคัญ อาทิ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ส.ส. และผู้ถูกกล่าวหารายอื่น จำนวนมากถึง 71 ราย

โดยข้อมูลในส่วน นายบุญทรง นั้น แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช. ยืนยันว่า จากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุด พบว่า ถูกกันชื่อไว้เป็นพยานในคดี พร้อมกับบริษัทเอกชนบางส่วน ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ เสี่ยเปี๋ยง ผู้ก่อตั้งบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ด้วย

สำหรับคดีระบายข้าวจีทูจีภาค 2 นี้ มีผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 71 ราย สามารถจำแนกออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มแรก นักการเมือง-ข้าราชการการเมือง มี 5 ราย ได้แก่

1.นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์

2.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

3.นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ส.ส.

4.พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการ รมว.พาณิชย์

5.นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

 

กลุ่มสอง ข้าราชการประจำ 3 ราย ได้แก่

1.นางปราณี ศิริพันธ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

2.นายฑิฆัมพร นาทวรทัต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

3.นายอัครพงศ์ หรืออัฐฐิติพงศ์ ทีปวัชระ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว

 

กลุ่มสาม รัฐวิสาหกิจจีน-ผู้รับมอบอำนาจจากรัฐวิสาหกิจจีน 18 ราย

กลุ่มสี่ เครือข่ายบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด 14 ราย

กลุ่มห้า เอกชนภายในประเทศที่เกี่ยวข้อง 31 ราย


ทั้งนี้ ในส่วนการไต่สวน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่โดนโทษจำคุก 48 ปี ในคดีระบายข้าวแบบจีทูจีล็อตแรกไปแล้ว นั้น เคยมีกระแสข่าวว่า เจ้าหน้าที่จาก ป.ป.ช. เข้าไปสอบปากคำเพิ่มเติมในเรือนจำ เพิ่มเติม

สำหรับกรณีนายทักษิณนั้น ในชั้นการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คดีระบายข้าวจีทูจีล็อตแรก มีเอกชนบางรายให้ถ้อยคำกับคณะอนุกรรมการไต่สวนว่า เคยบินไปพบนักการเมืองใหญ่ที่ดูไบ เพื่อเจรจาซื้อขายข้าว โดยนักการเมืองใหญ่รายนี้บอกว่า ให้มาซื้อกับนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร (เสี่ยเปี๋ยง จำเลยคดีข้าวจีทูจีล็อตแรก ปัจจุบันติดคุกอยู่) ได้เลยโดยตรง

ส่วนนางเยาวภานั้น เป็นแกนนำ “กลุ่มวังบัวบาน” ใน จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นต้นสังกัดทางการเมืองของนายบุญทรง โดยทางการเมืองว่ากันว่า นางเยาวภา เปรียบเสมือนเจ้านายของนายบุญทรง จึงทำให้แจ้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ด้วย

ทั้งนี้ ช่วงปลายเดือน ต.ค. 2561 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติอย่างเป็นทางการ ให้ไต่สวนนายทักษิณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นางเยาวภา และมีการแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหาทุกราย ยังถือว่าเป็น “ผู้บริสุทธิ์” จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลฯถึงที่สุด

ประเด็นก็คือ ท่ามกลางการรณรงค์หาเสียงเพื่อเตรียมการเลือกตั้งทั่วไปส.ส.ในปีหน้า(2566) ถือว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ของพรรคเพื่อไทย ที่วาดฝันเอาไว้ว่า จะสามารถชนะเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” หรือ “ถล่มทลาย” เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองทุกอย่าง เป็นใจให้หมด

ไม่ว่าจะเป็น กระแส “พล.อ.ประยุทธ์” ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง และประชาชน “เบื่อหน่าย” เพราะเป็นนายกรัฐมนตรียาวนานเกินไป และการบริหารประเทศ ก็ไม่เข้าตาประชาชน จนถูกกระแส “ขับไล่” อย่างหนัก นั่นเท่ากับว่า “คู่แข่ง” ทางการเมือง “เพลี่ยงพล้ำ” ให้แล้ว เหลือก็แต่การฉวยโอกาส “ขี่กระแส” เท่านั้น ซึ่ง “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยก็ทำมาตลอด 

ขณะเดียวกัน พรรคร่วมรัฐบาล อย่าง พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ก็กำลังมีปัญหาภายในพรรค โดยพรรคพลังประชารัฐ อยู่ระหว่างแบ่งขั้วว่า ใครจะอยู่ฝ่ายไหน ระหว่าง “ป. -พล.อ.ประยุทธ์” กับ “ป.-พล.อ.ประวิตร” ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากกระแสเลือดไหลไม่หยุด แล้ว ยังไม่แน่ว่า จะรักษาฐานที่มั่นภาคใต้เอาไว้ได้เช่นเดิมหรือไม่ เพราะถูกหลายพรรคการเมือง พุ่งเป้าที่จะ “เจาะ ไข่แดง” ให้ได้

เหลือก็แต่พรรคภูมิใจไทย ที่พรรคเพื่อไทยจะประมาทไม่ได้ เพราะนอกจาก “ดูด” ส.ส.เอาไว้ได้มากแล้ว ยังมี “จุดขาย” ด้านนโยบาย ที่ทำงานเข้าเป้า ไม่ว่าจะเป็นการดูแล กระทรวงสาธารณสุข ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ที่นำพาประเทศผ่านพ้น “โควิด-19” มาได้เป็นอย่างดี จนได้รับคำชมจาก “องค์การอนามัยโลก” และนโยบาย “กัญชง กัญชา” ซึ่งถือว่า ถูกใจชาวบ้าน ต่อให้มีกระแสต่อต้านอยู่บ้างก็ตาม

ยิ่งกว่านั้น กฎหมายเลือกตั้งใหม่ กรณีเปลี่ยนมาใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และส.ส.บัญชีรายชื่อ หรือ “ปาร์ตี้ลิสต์” 100 หาร ซึ่งจะทำให้พรรคใหญ่ได้เปรียบ ก็ถือว่า เข้าทางพรรคเพื่อไทยหมด

ส่วนการเดินเกม จัดตั้งรัฐบาลล่วงหน้า ก็มีกระแสข่าว “ดีลพิเศษ” เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะ โดยเฉพาะเพื่อ “ผ่าทางตัน” ส.ว. 250 เสียง ที่มีสิทธิโหวตเลือก “นายกรัฐมนตรี” และเป็นที่รู้กันดีว่า อยู่ในมือของใคร

ทั้งหมด ใช่ว่าจะไม่มีจุดพลิกผัน หาก “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-เยาวภา” ถูกป.ป.ช.ชี้มูลความผิด “จำนำข้าวภาค สอง” เพราะทางการเมือง ก็เท่ากับเป็นการ “ตอกย้ำ” การทุจริตให้เด่นชัดขึ้น และอาจทำให้คนที่คิดจะเลือกพรรคเพื่อไทย และนิยม “ทักษิณ” เปลี่ยนใจไปหาทางเลือกอื่นก็เป็นได้  

ยิ่งทิศทางของรูปคดี “จำนำข้าวภาคสอง” พุ่งเป้าไปที่ “ทักษิณ” โดยตรง ก็ยิ่งน่าติดตามอย่างใกล้ชิด ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ อาจมีข่าวใหญ่ระดับโลกก็เป็นได้?