คลายล็อกการเมือง 'ทักษิณ' สัญญาณบวกรัฐบาล 'อุ๊งอิ๊ง'

คลายล็อกการเมือง 'ทักษิณ' สัญญาณบวกรัฐบาล 'อุ๊งอิ๊ง'

กระแสการเมืองที่หันมาโฟกัส นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นับแต่เดินทางกลับประเทศไทย จนมาถึงวันนี้ แม้จะมีทั้งด้านลบและด้านบวก มีทั้งต่อต้าน และชื่นชมยินดี แต่สิ่งหนึ่งที่เริ่มชัดก็คือ การคืนสู่เวทีการเมืองในวัยจะเข้า 76

ไม่เพียงถูกจับตามอง ในฐานะ “ตัวช่วย” คนสำคัญรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็ก เท่านั้น หากแต่ยังสั่นสะท้อนการเมืองไทย ชนิดไม่ทิ้งลายเช่นเคย

นี่ไม่นับปี 2570 จะมีการเลือกตั้งทั่วไปสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หากรัฐบาลแพทองธาร อยู่จนครบวาระ 4 ปี เอาแค่ชิมลาง “ผู้ช่วยหาเสียง” เลือกตั้ง “นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(นายก อบจ.)” ให้ผู้สมัครสังกัดพรรคเพื่อไทย ก็ทำเอามีกระแสร้อนตามมาไม่เว้นแต่ละวัน ชิงพื้นที่ข่าว ครองหน้าสื่อเอาไว้ได้หมด

ปล่อยให้กระแสต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” บ่วงคดีหมิ่นเบื้องสูง และพันธนาการทางการเมือง อะไรทำได้ ทำไม่ได้ ในการเคลื่อนไหว วิ่งตามมาห่างๆ และปลดปล่อยทีละเปลาะ

สุดท้ายที่อาจต้องลุ้นหนัก ก็คือ คดีหมิ่นเบื้องสูง(ความผิด ป.อาญา ม.112)ซึ่งเหลืออยู่คดีเดียว ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยต่อศาลอาญาในคดีหมายเลขดำอ1860/2567 โดยศาลอาญาได้นัดสืบพยานโจทก์นัดแรกวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ เวลา 09.00 น.

ที่เห็นได้ชัด ล่าสุดศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก(31 ม.ค.68) ก็ได้อนุญาตให้ “ทักษิณ” เดินทางไปต่างประเทศได้

โดยศาลอาญามีคำสั่งพิเคราะห์ข้อเท็จจริงในทางไต่สวน กรณีจำเลย อ้างตนเองเป็นพยาน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเบิกความสนับสนุนพร้อมพยานเอกสารยืนยันให้เห็นถึงเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักรในระหว่างวันที่ 2-3 ก.พ.2568

เห็นว่า ช่วงเวลาที่จำเลยขออนุญาตเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไม่กระทบต่อวันนัดพิจารณาคดี เหตุผลและความจำเป็นที่จำเลยอ้างเป็นประโยชน์ต่อประเทศและเพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐ

 กรณีมีเหตุสมควร จึงอนุญาตให้จำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ตามที่ขอ โดยวางหลักประกัน (5 ล้านบาท) ตามที่เสนอ และให้มารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่จำเลยเดินทางกลับประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม การเดินทางไปต่างประเทศของ “ทักษิณ” แม้มีคำตอบเพียงสั้นๆ “ไปทำงานไม่ได้ไปเที่ยว” ส่วนไปพบใคร ใครเชิญนั้น “ทักษิณ” กล่าวว่า “รู้ๆ กันอยู่”

แต่ถ้าย้อนไปเมื่อไม่นานมานี้ มีรายงานจาก สำนักข่าวรอยเตอร์(16 ธ.ค.2567)ว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ประกาศว่า “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ไทย จะทำงานร่วมกับที่ปรึกษาจากประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงานในช่วงเวลาสำคัญของการเป็นผู้นำภูมิภาค

การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างการเยือนมาเลเซียของ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นบุตรสาวคนสุดท้องของนายทักษิณ

 “อันวาร์” กล่าวยกย่องทักษิณในระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับแพทองธาร ระบุว่า“ขอบคุณที่นายทักษิณตกลงรับตำแหน่งนี้ เพราะผมต้องการประสบการณ์อันมีค่าในฐานะผู้นำระดับภูมิภาคที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล”

ส่วนบทบาท “ทักษิณ” ที่ถูกพูดถึง ในอาเซียน-วิสัยทัศน์ระดับภูมิภาค เห็นว่า ในอดีต นายทักษิณเคยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการทูตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล่าสุด เขาได้พบกับผู้นำสำคัญในอาเซียน เช่น นายฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา และ นายปราโบโว ซูเบียนโต ปธน.อินโดนีเซีย

นอกจากนี้ มีรายงานจากสื่อไทยระบุ “ทักษิณ” มีบทบาทส่วนตัวในการพยายามหาทางออกสำหรับวิกฤตในเมียนมา ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญของอาเซียนในปัจจุบัน โดยในเดือนพฤษภาคม 2567 กระทรวงการต่างประเทศของไทย ยืนยันว่า “ทักษิณ” ได้พบกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐบาลทหารเมียนมาเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางสันติภาพ

บทบาทของ “ทักษิณ” ในฐานะที่ปรึกษาของอันวาร์อาจเป็นโอกาสสำคัญในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และช่วยหาทางออกสำหรับความขัดแย้งที่ซับซ้อนในภูมิภาค ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นถึงการกลับมามีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศของเขาอีกครั้ง

 “รอยเตอร์” ยังระบุว่า แม้นายทักษิณจะได้รับการยกย่องจากนายกฯ อันวาร์ แต่บทบาทใหม่ของเขาอาจไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายตรงข้ามในประเทศไทยและผู้มีอำนาจบางกลุ่มในอาเซียน ทว่าประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเขายังคงเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ในฐานะผู้นำที่เข้าใจประเด็นทางเศรษฐกิจและการเมืองระดับภูมิภาคอย่างลึกซึ้ง

ทั้งนี้ นายกฯอันวาร์ เตรียมขึ้นดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2568 และมีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างความเป็นเอกภาพในภูมิภาค และการแต่งตั้ง “ทักษิณ” เป็นที่ปรึกษาอาจเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จของการเป็นผู้นำอาเซียนของมาเลเซีย

 อีกประเด็น ที่ถือว่าประชาชนยังเคลือบแคลงสงสัย และมีคำร้องว่า “ผู้ช่วยหาเสียง” หลายคน อย่าง “ทักษิณ” นายธนาธร จึงรุ่งเรื่องกิจ ประธานคณะก้าวหน้า “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า อาจขาดคุณสมบัติ เป็นผู้ช่วยหาเสียง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การเลือกตั้งนายก อบจ. หลายจังหวัดอาจถูก “ใบแดง” หรือไม่

เรื่องนี้ นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยืนยันว่า ตามที่ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ตามระเบียบการหาเสียง ลักษณะต้องห้ามการหาเสียงในการเลือกตั้ง เขียนไว้ชัด

“ผู้ช่วยหาเสียงคือผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ได้รับจ้างจากผู้สมัครให้มาร่วมกิจกรรมในการโฆษณาหาเสียง ไม่มีตรงไหนที่เราบอกว่า เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ต้องมีหน้าที่ หรือมีสิทธิ์ ไม่มี”

 “เราถือหลักนี้มานานตั้งแต่ปี 62-63 เรามีระเบียบเกี่ยวกับการหาเสียงพรรคการเมือง ของ ส.ส. ก็เป็นประเด็นแบบนี้ แต่มีพรรคการเมือง 2 พรรคเขียนมาถามเรา ตามมาตรา 23 พ.ร.ป.กกต. ยืนยันว่า หมายถึงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเท่านั้น ท่านสามารถเป็นได้ แต่ถ้าไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง โดนเพิกถอนสิทธิ์ ก็ไม่สามารถเป็นได้”

เมื่อถามย้ำอีกว่า “ทักษิณ” ผิดหรือไม่ ในการเป็นผู้ช่วยหาเสียง ประธาน กกต. ยืนยันชัดเจน ไม่ผิด

ไม่เพียงเท่านั้น ย้อนกลับไปคดีสำคัญ ที่ถือว่า เป็น “หมัดน็อก” ของ “ฝ่ายแค้น” ซึ่งเป็นคำร้องที่เชื่อกันว่า “ทักษิณ” ไม่รอดแน่ แต่ในที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา

กรณีมีผู้ร้อง รมว.ยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เอื้อประโยชน์ “ทักษิณ” นอนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เป็นการล้มล้างการปกครองฯ / โดย ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องเป็นเพียงการกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกร้องทั้งสามปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอ และยังห่างไกลเกินกว่าเหตุที่แสดงให้เห็นได้ว่า ผู้ถูกร้องทั้งสามกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49

ย้อนกลับไปอีก (22 พ.ย. 2567) ศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีมติไม่รับคำร้อง กรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 อ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย(ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 6 ประเด็น

 ที่มีทั้งเรื่อง “ทักษิณ” นอนชั้น 14 รพ.ตำรวจ เรื่องรัฐบาลเอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชาให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล แบ่งผลประโยชน์ก๊าชธรรมชาติ เรื่อง “ทักษิณ” สั่ง “เพื่อไทย” ร่วมมือกับ พรรคประชาชน แก้รัฐธรรมนูญ เรื่อง “ทักษิณ” เจรจากับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล เสนอชื่อ “นายกรัฐมนตรี” แทน นายเศรษฐา ทวีสิน เรื่อง “ทักษิณ” สั่งให้มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล และเรื่องเอาวิสัยทัศน์ “ทักษิณ” ไปเป็นนโยบายรัฐบาล

ทั้งหมด ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า บุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายและความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ

 ที่น่าสนใจ แม้ว่า คำร้องในเรื่องดังกล่าว จะมีสำนวนอยู่ใน “ป.ป.ช.” และ “กกต.” ที่ยังไม่มีการชี้มูลความผิด หรือลงมติ แต่อย่างน้อย การที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง ก็สะท้อนถึงน้ำหนักของคำร้องด้วย

 เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเท่ากับว่า “ทักษิณ” ถูกคลายล็อกไปแล้วหลายเปลาะ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ นั่นคือ“ผู้ช่วยหาเสียง(สทร.)” ให้กับพรรคเพื่อไทย รวมถึงรัฐบาลเพื่อไทย และการเป็นที่ปรึกษา “ประธานอาเซียน” ที่เชื่อว่าเจ้าตัวจะใช้บทบาทนี้ “ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว” ที่จะส่งผลต่อทั้งพรรคเพื่อไทย และรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” ด้วย

 จึงน่าจับตามอง การเมืองที่เริ่มปูกระแสไปสู่การเลือกตั้งในปี 2570 โดยมี “ทักษิณ” เป็น “แม่เหล็ก” ให้กับพรรคเพื่อไทย เพื่อต่อสู้กับพรรคประชาชน ที่มีนักสร้างกระแส อย่าง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นายปิยบุตร แสงกนกกุล และอดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ และก้าวไกล เป็น “ตัวช่วย” ใครจะเหนือกว่าใคร?

 พะยี่ห้อ “ทักษิณ” จะยังไว้วางใจได้เสมอ หรือไม่ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด!