สมองเสื่อมชีวิตเสื่อม (จบ)
แต่ละคนย่อมมีมุมมองที่แตกต่างกันและอาจมีบางแง่มุมที่เป็นประโยชน์กับเราได้ การอยากได้ความสะดวกสบายในชีวิตก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายให้สำเร็จ
ความสะดวกสบายของวิถีชีวิตมนุษย์สมัยใหม่ทำให้กิจวัตรหลายๆ อย่างที่เราควรทำเป็นปกติเช่น การใช้กำลังร่างกายให้เหมาะสมผิดเพี้ยนไป เพราะเราไม่จำเป็นต้องออกไปล่าสัตว์เพื่อจับมาเป็นอาหารเหมือนที่บรรพบุรุษเราเคยทำเมื่อกว่าหลายพัน หายหมื่นปี ที่แล้ว
ผนวกกับอาหารขยะที่เกิดขึ้นมากมายแถมกลายเป็นอาหารหลักเพราะหาซื้อได้ง่าย ผลที่เกิดขึ้นคือภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์ในประชากรรุ่นใหม่ เพราะขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม ก่อให้เกิดโรคภัยตามมามากมาย
เช่นเดียวการการใช้สมองของคนยุคโบราณที่ต้องคิดตลอดเวลาว่าจะไปหาอาหารจากที่ไหน แหล่งน้ำสะอาดอยู่ตรงไหน และจะมีสัตว์ร้ายตัวไหนแอบซุ่มอยู่นะหว่างที่เขาออกไปหาอาหารหรือไม่ เมื่อต้องใช้สมองประมวลผลเรื่องราวต่างๆ มากมายเหล่านี้ก็ลดโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมและสมองเสื่อมลงได้มาก
ด้วยวิทยาการทางการแพทย์ที่เอื้อให้มนุษย์มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น แต่พฤติกรรมของเรากลับสวนทาง ด้วยการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ช่วยคิดหรือช่วยจัดการแม้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนน่ากังวลว่าในอนาคตเมื่อเราใช้สมองน้อยลงมากแบบนี้จะเพิ่มโอกาสเป็นโรคความจำเสื่อมและสมองเสื่อมมากขนาดไหนในอนาคต
กลุ่มผู้สูงอายุที่อาจเกษียณจากงานประจำแล้วจึงจำเป็นต้องมีกิจกรรมที่กระตุ้นให้ใช้ความคิดอยู่เสมอ โดยผมขอแนะนำแนวทางหลักสัก 2 ข้อ เริ่มจากข้อแรกคือหมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งการเรียนรู้นั้นไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นสาระความรู้หนักๆ เพื่อใช้ทำงานแต่เพียงอย่างเดียว
แต่อาจเป็นเรื่องเบาๆ ที่เราไม่มีโอกาสได้ทำในอดีตเช่นการวาดภาพ การเรียนดนตรีทั้งกีตาร์ เปียโน กลอง ฯลฯ หรือการทำอาหาร ขนม การปลูกต้นไม้ ดอกไม้นานาชนิด หรือจะเรียนการจัดดอกไม้สวยงามฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน ยิ่งแปลกใหม่ ยิ่งยาก ยิ่งไม่คุ้นเคย ยิ่งกระตุ้นให้สมองต้องทำงานหนัก
ความคิดที่ว่าชีวิตหลังเกษียณต้องเน้นความสบายและความปลอดภัยนั้นไม่เหมาะสมกับยุคสมัยนี้แล้ว เพราะยิ่งเกษียณยิ่งต้องหาโอกาสออกไปแสวงหาความแปลกใหม่ในสถานที่ต่างๆ จะเป็นต่างจังหวัดก็ได้สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ใหม่ๆ ของคนในท้องถิ่น
หรือจะข้ามพรมแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้านก็ได้เรียนรู้ภาษาใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งทุกที่ที่เราได้ไปจะได้พบประสบการณ์ที่แตกต่างจากตอนที่ยังไม่เกษียณอายุแน่นอน และประสบการณ์ที่แตกต่างก็จะมีพร้อมมิตรสหายร่วมทางใหม่ๆ ที่จะช่วยทำให้เราเห็นโลกในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน
ข้อที่สองคือ การเรียนรู้จากผู้อื่นโดยไม่จำกัดว่าเขาเป็นใครและเราเป็นใคร เพราะการเกษียณอายุของหลายๆ คนมักเป็นการลงจากตำแหน่งใหญ่โตที่มีแต่ผู้ใต้บังคับบัญชามากมาย เมื่อพบปะกับคนทั่วไปก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาเป็นใครและจะต้องไปฟังเขาทำไม เนื่องจากตัวเองมีบทบาทและประสบการณ์ที่มากกว่าหลายเท่า
การคิดแบบนี้เป็นการปิดกั้นโอกาสที่จะได้เรียนรู้ความคิดในมุมมองที่แตกต่างจากผู้คนรอบข้าง เพราะไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ทำงานอะไร มีประสบการณ์แค่ไหน ฯลฯ แต่ละคนย่อมมีมุมมองที่แตกต่างกันและอาจมีบางแง่มุมที่เป็นประโยชน์กับเราได้
ที่สำคัญการจำกัดวงพูดคุยเฉพาะญาติหรือเพื่อนสนิทแต่เพียงอย่างเดียวก็ต้องยอมรับว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่อาจงอกเงยเพิ่มจำนวนขึ้นมาได้อีกแล้ว บางคนเริ่มป่วย บางคนก็ล้มหายตายจากไปทำให้มีคนพูดคุยกับเราน้อยลงไปเรื่อยๆ
การเปิดรับเพื่อนใหม่โดยไม่เกี่ยงว่าเขาเป็นใครจึงเป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะช่วงแรกที่ปรับตัวเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างก็ต้องเรียนรู้ว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร เป็นการใช้ความคิดที่กระตุ้นการใช้สมองได้เป็นอย่างดี
ทั้งหมดนี้อาจทำให้เราไม่ได้อยู่ในภาวะที่สบายมากนัก ไม่ว่าจะเป็นการออกเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ หรือต้องพูดคุยกับคนแปลกหน้าที่มีนิสัยใจคอแตกต่างกัน แต่ความไม่สบายแบบนี้จะกระตุ้นให้สมองทำงานอย่างเต็มที่ ลดโอกาสที่เราจะเป็นโรคสมองเสื่อมได้ในอนาคต
การแสวงหาความเจริญนั้นต้องผ่านความยากลำบากมาก่อน เช่นเดียวกับการอยากได้ความสะดวกสบายในชีวิตก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายเหล่านี้ให้ได้สำเร็จ