มองเด็กสอนผู้ใหญ่ในรัฐมอนแทนา
ศาลฎีกาในรัฐมอนแทนาของสหรัฐอเมริกาเพิ่งลงมติ 6-1 ยืนยันการตัดสินของศาลชั้นต้นให้เยาวชน 16 คนชนะคดีที่พวกเขาฟ้องรัฐบาลต่อศาลยุติธรรมว่าตรากฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมขัดกับรัฐธรรมนูญ คดีนี้เป็นที่จับตามองของรัฐอื่นและของต่างประเทศ
รัฐมอนแทนามีพื้นที่เป็นชนบทอันงดงามกว้างใหญ่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้า ป่าไม้ เทือกเขาสูง ธารน้ำและสัตว์ป่าซึ่งมีจำนวนมากกว่าคนเนื่องจากรัฐนี้มีพื้นที่ราว 75% ของประเทศไทยแต่มีคนอาศัยอยู่เพียง 1.1 ล้านคนเท่านั้น เมื่อเทียบกับพื้นที่ส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา รัฐมอนแทนาจัดว่ามีอากาศปราศจากมลภาวะพร้อมกับสิ่งแวดล้อมที่ยังมีความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมสูงกว่าในพื้นที่อื่น
เฉกเช่นชาวอเมริกันในชนบททั้งหลาย ชาวมอนแทนาส่วนใหญ่มีแนวคิดโน้มเอียงไปทางอนุรักษนิยมสูง ซึ่งดูได้จากการเป็นสมาชิกพรรคริพับลิกันมากที่สุดของพวกเขา ชาวอเมริกันที่ไม่เชื่อว่ากิจกรรมของมนุษย์เป็นปัจจัยทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศมักอยู่ในพรรคนี้
อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญของรัฐมอนแทนามีบทบัญญัติตอนหนึ่งซึ่งระบุว่า "รัฐและประชาชนทุกคนจะต้องคงไว้และทำให้ดีขึ้นซึ่งสิ่งแวดล้อมที่สะอาดและเป็นผลดีต่อสุขภาพของชาวมอนแทนาในปัจจุบันและรุ่นต่อ ๆ ไปในอนาคต บทบัญญัตินี้น่าจะเป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัดว่าชาวมอนแทนาทุกคน รวมทั้งผู้ที่จะเกิดต่อไปมีสิทธิ์ในการอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีผลร้ายต่อสุขภาพของตน"
แต่เมื่อปี 2554 รัฐสภาตรากฎหมายออกมาซึ่งส่วนหนึ่งมีข้อกำหนดว่า ในการพิจารณาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการใหม่ เช่นการลงทุนผลิตกระแสไฟฟ้าห้ามมิให้นำผลกระทบต่อภูมิอากาศเข้ามาพิจารณาด้วย การตรากฎหมายด้วยความมักง่ายฉบับนี้บงชี้อย่างแจ้งชัดว่า นักการเมืองส่วนใหญ่ในรัฐมอนแทนาอยู่ในอุ้งมือของผู้มีผลประโยชน์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากการเผาฟอสซิล ซึ่งประกอบด้วยถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ
รัฐมอนแทนามีฟอสซิลปริมาณมหาศาลโดยเฉพาะมีถ่านหินมากที่สุดในบรรดา 50 รัฐด้วยกัน ผู้ขุดถ่านหินและเผาถ่านหินซึ่งมีผลกระทบสูงต่อสิ่งแวดล้อมและต่อภูมิอากาศจึงเป็นกิจการใหญ่ที่มักมีอิทธิพลเหนือนักการเมือง เรื่องนี้ไม่เป็นที่น่าแปลกใจเพราะในสหรัฐมีอยู่ทั่วไปส่งผลให้ระบอบประชาธิปไตยที่สหรัฐใช้อยู่ถูกบิดเบือนจากอุดมการณ์
นักการเมืองในรัฐมอนแทนาคงคิดว่าจะตบตาประชาชนโดยทั่วไปได้ จึงตรากฎหมายดังกล่าวออกมา แต่เยาวชนจำนวนมากในรัฐมอนแทนารู้ทันก่อให้เกิดประเด็นสำคัญที่สุด นั่นคือ พวกเขาไม่ดูดายจึงไม่ยอมปล่อยให้เรื่องเลวร้ายผ่านไปโดยไม่คิดจะทำอะไรสักอย่าง พวกเขาปรึกษาหารือกันพร้อมกับแสวงหาการสนับสนุนจากผู้ใหญ่รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายด้วย เมื่อตกผลึกจึงยื่นฟ้องรัฐบาลต่อศาลยุติธรรมของรัฐเมื่อปี 2563
เยาวชน 16 ที่มีรายชื่อเป็นผู้ฟ้องมาจากทุกภาคส่วนของรัฐรวมทั้งจากกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่ตั้งชุมชนอยู่ก่อนคนผิวขาวจะเข้าไปยึดครอง พวกเขามีอายุจาก 5 ขวบถึง 22 ปี จึงมักมีคำถามว่าเด็กอายุเพียง 5 ขวบเข้าใจเนื้อหาของเรื่องอันสำคัญยิ่งนี้ดีและมีสิทธิ์ฟ้องศาลด้วยหรือ คำตอบคือ เขาเข้าใจเนื้อหาพื้นฐาน เช่น การได้รับผลกระทบจากการเผาถ่านหิน และมีสิทธิ์ฟ้องเมื่อมีผู้ใหญ่รับเป็นผู้รับผิดชอบแทน
เมื่อปีที่ผ่านมา ศาลชั้นต้นตัดสินให้เยาวชนชนะ รัฐบาลอุทธรณ์ทันทีต่อศาลฎีกา ซึ่งเพิ่งส่งคำยืนยันดังกล่าวลงมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ความมักง่ายอันน่าอดสูของผู้ใหญ่และชัยชนะของเยาวชนผู้ไม่ยอมดูดายครั้งนี้ คงมีผลทางด้านการเป็นบรรทัดฐานของการพิจารณาคดีและแนวทางปฏิบัติในรัฐอื่นอย่างแน่นอน
สำหรับในต่างประเทศ ผลดีคงมีจำกัดอยู่ในหมู่ประเทศที่พัฒนาจนก้าวหน้ามากแล้วเท่านั้น ส่วนในประเทศกำลังพัฒนา หรือล้าหลัง ผลดีคงมีไม่มากเนื่องจากในประเทศเหล่านี้มักมีความมักง่ายและความดูดายสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การพัฒนาไม่ก้าวหน้าอยู่แล้ว
ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ขออวยพรให้ทุกท่านสุขภาพดี มีทรัพย์พอใช้และไร้ความกังวล