ถึง ‘แพ้’ แต่ก็ยัง ‘ชนะ’ ได้
ไม่เคยมีครั้งใดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาที่ในเวลา 4 ปี เท่ากับวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีนั้นจะมีประธานาธิบดีถึง 3 คน และรองประธานาธิบดี 3 คน เมื่อก่อนปีใหม่ 2568 ไม่กี่วันประธานาธิบดีคนที่ 3 นี้คือ Jimmy Carter ก็เสียชีวิตในวัย 100 ปี โดยเป็นประธานาธิบดีอเมริกาเพียงคนเดียวที่อายุเกิน 100 ปี ชีวิตของเขาเรียกได้ว่า “พ่ายแพ้” ในการดำรงตำแหน่ง แต่ “ชนะ” อย่างงดงามหลังจากพ้นจากตำแหน่งแล้ว มาดูกันว่ามีบทเรียนใดจากปรากฏการณ์นี้
เรื่องราวของเขาเรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ในหลายลักษณะ มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่อดีตผู้ว่าการรัฐเล็กๆ จากภาคใต้ที่แทบไม่มีคนรู้จักในระดับชาติ สามารถก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีได้ และกลายเป็นตำนานที่ผู้คนจดจำไม่รู้ลืม
Jimmy Carter ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา ในเอกสารทางการเขามีชื่อว่า James Earl Carter Jr. (Jr. ย่อมาจาก Junior ซึ่งหมายถึงว่าเขาชื่อเหมือนพ่อ แต่มี Jr. ห้อยท้ายให้รู้ว่าเป็นคนละคน) เกิดในเดือนตุลาคม 1923 เหตุที่เป็น Jimmy ก็เพราะในธรรมเนียมของโลกตะวันตกที่ใช้ภาษาอังกฤษ คนชื่อ James มักถูกเรียกว่า Jim หรือ Jimmy / John เรียก Jack หรือ Johnny /Robert เรียก Bob หรือ Rob / Charles เรียก Charlie หรือ Chuck / Elizabeth เรียก Liz หรือ Betty หรือ Beth ฯลฯ
สำหรับ Carter นั้น Jimmy เป็นชื่อที่ผู้คนเรียกเขามาตลอดถึงแม้ก่อนลงเลือกตั้งครั้งเเรกที่เป็น ส.ส.ของรัฐ ดังนั้น เขาจึงใช้ต่อมาเพราะทำให้ผู้ลงคะแนนรู้สึกว่าเป็นมิตรและเป็นส่วนตัว (เช่นเดียวกับ Bill Clinton) ซึ่งก็ได้ผล หลังจากเรียนจบจาก U.S. Naval Academy หรือโรงเรียนนายเรือของสหรัฐใน ปี 2489 และทำงานอยู่หลายปี เขาก็ลาออกมาเป็นเกษตรกรตามอาชีพของครอบครัว เขาลงสมัครเป็น ส.ส. ของรัฐในปี 2506 และต่อมาได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการรัฐ Georgia ระหว่าง 2514-2518 และลงสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 2519
เหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองในช่วงปี 2515 จนถึง 2517 ที่ Nixon เป็นประธานาธิบดีคือเรื่อง Watergate ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่มาจากทีมงานเลือกตั้งของ Nixon มุ่งชนะวาระที่สองในการเลือกตั้ง ปี 2519 จึงแอบเอาเครื่องดักฟังไปติดตั้งที่สำนักงานใหญ่เลือกตั้งของพรรคเดโมแครตที่ตั้งอยู่ที่ตึก Watergate อาชญากรรมนี้ฟังดูเป็นเรื่องเล็ก แต่สิ่งที่ตามมาคือการทำผิดกฎหมายหลายเรื่องอย่างฉกรรจ์เพื่อปกปิดโดยรวมไปถึงตัว Nixon ด้วย
เมื่อความจริงปรากฏขึ้นจึงเป็นแรงผลักดันให้เขาต้องลาออกในปี 2517 เพราะตระหนักว่าจะถูก Impeach (ระบุว่าทำความผิดโดยรัฐสภา) อย่างแน่นอน เมื่อถึงวุฒิสภาก็จะไม่รอดและถูกถอดออกจากการเป็นประธานาธิบดี ดังนั้น Nixon จึงชิงลาออกก่อนรองประธานาธิบดี Gerald Ford จึงได้เป็นประธานาธิบดีแทนเเละมี Nelson Rockefeller เป็นรองประธานาธิบดี
เมื่อการเลือกตั้งในปี 2519 มาถึง Ford ก็ลงเลือกตั้งแต่พ่ายแพ้แก่ Carter ผู้เข้าดำรงตำเเหน่งต้นปี 2520 ดังนั้นในช่วงปี 2517 ถึง 2520 จึงมีประธานาธิบดี 3 คน คือ Nixon / Ford และ Carter ส่วน รองประธานาธิบดี คือ Ford / Rockefeller / Mondale
เหตุผลหลักที่ Carter เป็น “ม้ามืด” ชนะก็เพราะคนอเมริกันเบื่อหน่ายความฉ้อฉลคดโกงในวงการเมือง ซึ่งเห็นจากช่วงเวลาของ Nixon ที่เปิดเผยทุกวันจากกรณีของ Watergate เมื่อ Jimmy Carter ซึ่งเป็นคนที่มีบุคลิกของความซื่อสัตย์ มีคุณธรรม มีความเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัดในศีลธรรม ซึ่งตรงกับใจของประชาชน หลัง Watergate เขาจึงได้รับเลือก
นอกจากนี้ Ford ก็เป็นคู่แข่งที่เปรียบเสมือนตัวแทนของ Nixon ที่ผู้คนไม่พอใจ (Nixon แต่งตั้งเขาเป็นรองประธานาธิบดีแทน Spiro Agnew ในปี 2516 ที่ลาออกไปเพราะพบว่ามีการคอร์รัปชันหนักในอดีตและยังรับเงินในช่วงทำงานกับ Nixon ด้วย) อีกทั้ง Ford ได้ใช้อำนาจทางกฎหมาย pardon (อภัยโทษ) การกระทำผิดกฎหมายทั้งหมดที่ Nixon ทำไปก่อนหน้าด้วย
ในช่วง 4 ปีที่ Jimmy Carter เป็นประธานาธิบดี ระหว่าง 2519-2523 ถึงแม้จะทำงานหนักและประสบความสำเร็จหลายเรื่อง เช่น การช่วยให้อียิปต์และอิสราเอลลงนามสันติภาพ การใช้สิทธิมนุษยชน (Human Rights) เป็นอุดมการณ์ในการดำเนินนโยบายของสหรัฐ การสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน การต่อสู้กับสิ่งแวดล้อม นโยบายพลังงานที่รักษาสิ่งเเวดล้อม ฯลฯ
แต่สิ่งที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่เขา ก็คือเรื่องที่ผู้ก่อการร้ายยึดสถานทูตสหรัฐในกรุงเตหะราน โดยจับเจ้าหน้าที่ทางการทูตและคนอเมริกันรวม 52 คน เป็นตัวประกัน โดยจับอยู่ 444 วัน ระหว่างปี 2522-2524 ไม่ว่าจะเจรจาอย่างไรก็ไม่เป็นผล นอกจากนี้ทีมที่ไปช่วยตัวประกันก็ล้มเหลวจนมีทหารอเมริกันตายไป 8 คน
เหตุการณ์อิหร่านนี้ทำให้ผลงานทั้งหมดของ Carter มัวหมอง คนอเมริกันส่วนใหญ่เห็นว่าเขาเป็นผู้นำที่อ่อนแอ ไร้ความสามารถ เป็นช่วงเวลาของความล้มเหลว และเป็นประธานาธิบดีคนหนึ่งที่ล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์ Jimmy Carter แพ้ Ronald Reagan ในการเลือกตั้งปี 2523 อย่างยับเยิน
หลังจาก “พ่าย” แล้วแต่เขาก็ไม่ยอม “แพ้” เขามิได้ต่อสู้เพื่อชิงอำนาจกลับคืนมาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเยี่ยง Trump หรือผู้นำประเทศสารขัณฑ์ หากเขาต่อสู้ต่อไปโดยทำงานให้ชาวโลกในฐานะมนุษย์ธรรมดาผ่าน Carter Center ที่เขาตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินงานในหลายโครงการ เช่น กำจัดมาลาเรีย โรคร้ายในแอฟริกา การสร้างบ้านให้คนยากจน (Habitat for Humanity) (เขาเคยมาทำงานในประเทศไทย สร้างบ้านที่เชียงใหม่และภูเก็ต) ฯลฯ
Jimmy Carter ใช้ “บารมี” ในการเป็นตัวกลางประสานสันติภาพในหลายเเห่ง ฯลฯ ในปี 2545 เขาได้รับรางวัลโนเบิลสาขาสันติภาพ แม้กระนั้นเขาก็ไม่หยุด ทำงานต่อไปจนถึงวาระสุดท้ายในอีก 22 ปีต่อมา
Jimmy Carter “ชนะ” หลังจาก “พ่าย” แต่ไม่ “แพ้” ด้วยการทำงานที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ชาวโลกด้วยบุคลิกของความเป็นคนซื่อสัตย์ มีหลักคุณธรรมอันมั่นคง มีเมตตาธรรมและมีอุดมการณ์ ถึงแม้จะเจ็บช้ำจากความล้มเหลวก่อนหน้า แต่เขาก็ไม่ท้อ ทำงานที่ยิ่งใหญ่กว่าจนได้รับความนับถือและการยอมรับจากชาวโลก เเละเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีอเมริกันที่คนอเมริกันรักมากที่สุด