สหรัฐจะเกิดวิกฤติ "หนี้สาธารณะ" หรือไม่

สหรัฐจะเกิดวิกฤติ "หนี้สาธารณะ" หรือไม่

เศรษฐกิจสหรัฐ ขณะนี้เป็นข่าวตลอด ทั้งนโยบายภาษีของทรัมป์ที่ยังไม่นิ่ง ตลาดหุ้นสหรัฐที่ลดลงต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนกลัวเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย

 และหนี้สาธารณะสหรัฐที่ล่าสุดสูงใกล้แตะระดับอันตรายที่ 100% ของจีดีพี จนมีคําถามว่าหนี้ภาครัฐจะนำเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะวิกฤติหรือไม่ พัฒนาการทั้งหมดเกี่ยวข้องกัน และคําถามต่างๆ ก็สะท้อนความไม่มั่นใจที่มีมากขึ้นของนักลงทุนในความเข็มแข้งของเศรษฐกิจสหรัฐต่างจากปีก่อน

วันนี้จึงอยากให้ความเห็นเรื่องนี้ โฟกัสไปที่ “หนี้สาธารณะสหรัฐ” ว่าจะเกิดเป็นวิกฤติได้หรือไม่ นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้

ในทุกวิกฤติเศรษฐกิจ ต้นตอของปัญหาคือ “การก่อหนี้” และวิกฤติจะเกิดเมื่อประเทศก่อหนี้เกินความสามารถที่จะชําระคืน เกิดการผิดนัดชําระหนี้ ทำให้นักลงทุนไม่เชื่อมั่นในความสามารถของประเทศที่จะชําระคืนหนี้ นำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจในที่สุด

ไม่ว่าหนี้ที่ก่อจะเป็นหนี้ภาครัฐ หนี้ภาคธุรกิจ หรือหนี้ครัวเรือน ด้วยเหตุนี้ ระดับและภาระหนี้ที่ประเทศมีจึงอยู่ในสายตาของนักลงทุน

สําหรับสหรัฐ หนี้สาธารณะหรือหนี้ภาครัฐปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูง มีสัดส่วน 99% ของจีดีพีสิ้นปีที่แล้ว ใกล้ระดับ 100% ของจีดีพี ที่เริ่มอันตรายเพราะรัฐบาลจะมีหนี้มากกว่ารายได้ที่ประเทศหาได้ทั้งปีในรูปตัวเงิน 

หนี้ภาครัฐของสหรัฐล่าสุดเท่ากับ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 106,000 ดอลลาร์ต่อประชากรสหรัฐหนึ่งคน หนี้เหล่านี้เกิดจากการกู้ยืมของรัฐบาลที่สะสมมาในอดีตถึงปัจจุบันเพราะรัฐบาลใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่มี โดยเฉพาะหลังปี 2551 ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐ

คือ เมื่อสิ้นปี 2550 หนี้ภาครัฐของสหรัฐอยู่ที่ 35.2% ของจีดีพี แต่หลังจากนั้นได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 99% ของจีดีพีสิ้นปีที่แล้ว

หนี้ที่เพิ่มขึ้นสะท้อนรายจ่ายของรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่มต่อเนื่อง การใช้จ่ายที่เพิ่มมากคือรายจ่ายด้านสังคมสงเคราะห์และสาธารณสุขที่เป็นผลจากการเกษียณอายุและสังคมสูงวัย 

ตามด้วยรายจ่ายช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2551 เพื่อรักษาเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน รายจ่ายช่วงวิกฤติโควิดปี 2563-2564 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและดูแลประชาชน 

นอกจากนี้ก็มีรายจ่ายด้านความมั่นคงที่รัฐบาลสหรัฐมีตามบทบาทประเทศผู้นําที่ต้องดูแลเสถียรภาพและความสงบในโลก ประเมินว่ามีวงเงินประมาณ 8 ล้านล้านดอลลาร์ หรือร้อยละ 22 ของหนี้ภาครัฐในปี 2565 

อีกรายจ่ายหนึ่งที่ใหญ่และเพิ่มต่อเนื่องคือการชําระดอกเบี้ยหนี้ที่กู้มา มีสัดส่วนสูงถึง 18% ของรายได้รัฐบาล นอกจากนี้ การลดภาษีของรัฐบาลสหรัฐในยุคสมัยที่ผ่านมาก็ทําให้รายได้ของรัฐบาลโตช้าและรัฐบาลขาดดุลการคลังมากขึ้นๆ เช่น ปี 2567 รัฐบาลสหรัฐขาดดุล 6.6% ของจีดีพี ซึ่งสูง

การขาดดุลการคลังของรัฐบาลสหรัฐ คาดว่าจะสูงขึ้นอีกในปีนี้และปีต่อๆ ไป เพราะการใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นทั้งเพื่อดูแลประชาชนที่เกษียณอายุและภาระจากสังคมสูงวัย การชําระดอกเบี้ยเงินที่กู้มาที่ปริมาณหนี้จะมากขึ้นและอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น การใช้จ่ายตามนโยบายของฝ่ายการเมือง

ขณะที่รายได้จะลดลงตามเศรษฐกิจที่ชะลอ และจะลดลงมากถ้าการลดอัตราภาษีเงินได้ที่ลดลงชั่วคราวสมัยทรัมป์ 1.0 กลายเป็นการลดถาวร 

มีการประเมินว่า การขาดดุลของรัฐบาลสหรัฐอาจเพิ่มเป็น 7.2% ของจีดีพีปีนี้หรือปีหน้า ทําให้หนี้ภาครัฐของสหรัฐจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก 

สถาบันบรุคกิ้งในสหรัฐ (Brooking Institute) ประเมินว่าอัตราส่วนหนี้ภาครัฐต่อจีดีพี อาจเพิ่มเป็น 107% ห้าปีข้างหน้า 120% สิบเอ็ดปีข้างหน้า และอาจถึง 150% ของจีดีพีในปี 2593 ซึ่งสูงมากๆ คําถามคือสหรัฐจะหลีกเลี่ยงวิกฤติหนี้และวิกฤติเศรษฐกิจได้หรือไม่ถ้าตัวเลขเป็นแบบนี้

กรณีทั่วไป วิกฤติจะเกิดถ้าประเทศไม่สามารถชําระหนี้ที่มี แม้หนี้นั้นจะเป็นหนี้ในสกุลเงินของตนเองไม่ใช่หนี้ต่างประเทศ แต่กรณีสหรัฐอาจพิเศษเพราะหนี้รัฐบาลสหรัฐอยู่ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ และเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินที่ทั่วโลกใช้และยอมรับ

ในทางทฤษฎี ธนาคารกลางสหรัฐอาจพิมพ์เงินดอลลาร์สหรัฐมากเท่าที่รัฐบาลต้องการเพื่อไม่ให้เกิดการผิดนัดชําระหนี้ คือหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดวิกฤติอย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อจะสูง

และสิ่งที่จะตามมาเมื่อรัฐบาลมีหนี้สูงและไม่แก้ไขคือ นักลงทุนและตลาดการเงินจะสูญเสียความเชื่อมั่นในการดําเนินนโยบายและเศรษฐกิจสหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนลงๆ เพราะนักลงทุนขายทิ้งพันธบัตรและตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐ

ราคาพันธบัตรรัฐบาลจะลดลงมากทําให้สถาบันการเงินและนักลงทุนที่ลงทุนไว้ขาดทุน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยจะต้องสูงมากเพื่อจูงใจให้นักลงทุนซื้อหรือถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐต่อไป รวมถึงเพื่อลดเงินเฟ้อ 

ผลคือเศรษฐกิจสหรัฐจะดิ่ง ระบบการเงินจะหยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างและทั่วโลก คล้ายวิกฤติปี 2551 ที่เกิดขึ้นในสหรัฐ ที่คราวนั้นวิกฤติเริ่มที่ตลาดตราสารหนี้เอกชนที่มีสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ค้ำประกัน แต่คราวนี้เรากําลังพูดถึงตลาดตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐซึ่งใหญ่กว่ามาก และเป็นตราสารที่นักลงทุนและสถาบันการเงินทั่วโลกลงทุน

ดังนั้น ดีที่สุดคืออย่าให้ไปถึงสถานการณ์เช่นนั้น รัฐบาลสหรัฐควรเริ่มแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะอย่างจริงจังด้วยการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ ซึ่งรัฐบาลทรัมป์ก็กําลังทําหลายเรื่องในแนวนี้ เช่น ลดจํานวนข้าราชการและการใช้จ่ายของภาครัฐ เช่น การช่วยเหลือต่างประเทศ

รวมทั้งยํ้าแบบทีเล่นทีจริงว่าประเทศที่ได้ประโยชน์จากการคุ้มครองของสหรัฐในแง่ความมั่นคง ต่อไปจะไม่ฟรีอีกคือต้องจ่ายอะไรเป็นการตอบแทน 

และที่สําคัญมากคือ ฝ่ายการเมืองในสหรัฐทั้งสองข้างของสภา คือรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต้องเห็นร่วมกันว่าหนี้ภาครัฐเป็นปัญหาที่ต้องแก้ ต้องทําทันที และจะไม่เล่นการเมืองในประเด็นนี้อีก เช่น เพดานหนี้สาธารณะ

สําหรับประเทศเรา นักการเมืองก็ต้องพึงสังวรณ์ว่าระดับหนี้ภาครัฐที่สูงคือ ความเสี่ยงที่จะทำให้ประเทศเกิดวิกฤติเศรษฐกิจตามมา 

ที่สำคัญ ต้องตระหนักว่า การกู้หรือสร้างหนี้ที่มากจะทําให้ความเป็นอยู่ของคนไทยรุ่นต่อไปแย่ลงกว่ารุ่นปัจจุบันที่ก่อหนี้ เพราะรุ่นปัจจุบันก่อหนี้เพื่อการบริโภคคือเเจกเงิน ไม่ได้ลงทุน เมื่อไม่ลงทุน ความเป็นอยู่ของคนรุ่นต่อไปก็จะยิ่งแย่ลง

สหรัฐจะเกิดวิกฤติ \"หนี้สาธารณะ\" หรือไม่

คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์บัณฑิต

ดร.บัณฑิต นิจถาวร

ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

bandid.n@ppgg.foundation