‘มาร์กอส จูเนียร์’ โอกาสสุดท้ายครอบครัวเผด็จการ
ชื่อ “เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส” เป็นที่จดจำของชาวโลกและชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากในฐานะผู้นำเผด็จการที่โดนประชาชนขับไล่ออกนอกประเทศเมื่อ 36ปีก่อน แต่วันนี้ “เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์” บุตรชายกำลังลงชิงชัยในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมีขึ้นในเดือน พ.ค. ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดเขามีคะแนนนำ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ผลสำรวจความคิดเห็นของสำนักโพลอิสระ “พัลส์เอเชีย” เก็บข้อมูลเมื่อวันที่ 19-24 ม.ค. เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์มีคะแนนนำรองประธานาธิบดีเลนี โรเบรโด 44 จุด เพิ่มขึ้น 11 จุดจากการสำรวจครั้งก่อนหน้าเมื่อต้นเดือน ธ.ค.
โพลสอบถามจากประชาชน 2,400 คนว่า ถ้าการเลือกตั้งประธานาธิบดีมีขึ้นในวันนั้นจะเลือกใครเป็นประธานาธิบดีและรองฯ ผู้ให้ข้อมูล 60% เลือกมาร์กอส 16% เลือกโรเบรโด ส่วนนักชกดัง แมนนี ปาเกียว และฟรานซิสโก โดมาโกโซ นายกเทศมนตรีกรุงมะนิลามาเป็นที่ 3 ได้คนละ 8% ปันฟิโล แลคสัน สมาชิกวุฒิสภาได้ 4%
ตอนทำโพลในเดือน ธ.ค.สอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจำนวนเท่ากัน มาร์กอสได้คะแนนนิยม 53% ส่วนโรเบรโดได้ 20%
ในฟิลิปปินส์ ประธานาธิบดีกับรองฯ เลือกตั้งแยกกัน คู่หูของมาร์กอสจูเนียร์คือ ซารา ดูเตอร์เต คาร์ปิโอ ลูกสาวประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ยังคงนำมาเป็นที่ 1 สำหรับผู้ลงเลือกตั้งรองประธานาธิบดี เธอมีคะแนนเหนือคู่แข่งอย่างประธานวุฒิสภา วินเซนเต ซอตโต 21 จุด
การสำรวจล่าสุดของพัลส์เอเชียกระทำก่อนคณะกรรมการการเลือกตั้งฟิลิปปินส์ยกคำร้องตัดสิทธิเลือกตั้งของมาร์กอสจูเนียร์ เท่ากับว่าอุปสรรคใหญ่ของเขาในการเลือกตั้งวันที่ 9 พ.ค. หมดไปแล้ว แต่ผู้เข้าชื่อถอดถอนประกาศว่าจะอุทธรณ์คำสั่งของกกต.ต่อศาลฎีกา นอกจากนี้ กกต.ยังยกคำร้องว่ามาร์กอสจูเนียร์ขาดคุณสมบัติลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีด้วย
มาร์กอสจูเนียร์ รู้จักกันในชื่อเล่น “บองบอง” เป็นลูกชายคนเดียวของผู้นำเผด็จการที่ปกครองฟิลิปปินส์มาเกือบสองทศวรรษจนกระทั่งถูกการปฏิวัติประชาชนโค่นอำนาจในปี 2529 ครอบครัวมาร์กอสต้องลี้ภัยไปอยู่ฮาวาย และมาร์กอสผู้พ่อเสียชีวิตที่นั่น
เมื่อกลับประเทศในทศวรรษ 90 มาร์กอสจูเนียร์ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ. Ilocos Norte บ้านเกิดบิดา และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในปี 2553 จากนั้นลงเลือกตั้งรองประธานาธิบดีปี 2559 พ่ายแพ้ไปแบบฉิวเฉียด เขาฟ้องศาลอาญาแต่ศาลพิพากษาไม่เห็นชอบกับคำร้องของเขา
ชีวิตส่วนตัวมาร์กอสจูเนียร์สมรสกับทนายความนามหลุยส์ อาราเนตา มาร์กอสมีบุตรชาย 3 คน คนหนึ่งลงเลือกตั้ง ส.ส.ด้วย
ทำไมต้องลงเลือกตั้ง
ครอบครัวมาร์กอสพยายามปรับภาพลักษณ์ตระกูลเสียใหม่ ปฏิเสธข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติขณะอยู่ในอำนาจ การประเมินในปี 2530 อยู่ที่ 1 หมื่นล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์การเมืองกล่าวว่า ในวัย 64 ปีการลงเลือกตั้งประธานาธิบดีของมาร์กอสจูเนียร์อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่ตระกูลมาร์กอสได้หวนคืนทำเนียบประธานาธิบดี ขณะที่อิเมลดา มารดา ผู้อยู่เบื้องหลังกลไกการเมืองของมาร์กอสผู้พ่อขณะนี้อายุ 92 ปีแล้ว
ตอนสมัครรับเลือกตั้งมาร์กอสจูเนียร์กล่าวว่า เขาจะเป็นผู้นำสร้างความเป็นเอกภาพของชาติ แต่ประวัติศาสตร์อาจทำให้ความตั้งใจของเขากลายเป็นเรื่องยาก นักวิจารณ์โต้แย้งว่า ครอบครัวมาร์กอสไม่เคยขอโทษหรือแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตอย่างเหมาะสม ส่วนเจ้าตัวบอกว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก
โอกาสชนะมากน้อยแค่ไหน
มาร์กอสจูเนียร์ได้รับความนิยมมาก ยิ่งมาจับคู่กับซารายิ่งโดดเด่น เธอได้รับการสนับสนุนจากทางภาคใต้ ที่ในอดีตครอบครัวมาร์กอสขาดฐานเสียงจากพื้นที่นี้ ซึ่งนี่อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกม
ข้อได้เปรียบอีกประการหนึ่งในทัศนะนักวิเคราะห์การเมืองคือ เขาหาเสียงในโซเชียลมีเดียหนักมากเพื่อดึงคนรุ่นใหม่ที่เกิดหลังการปกครองของมาร์กอสผู้พ่อ
จะว่าไปแล้วในฐานะตระกูลที่โด่งดังที่สุดตระกูลหนึ่งของฟิลิปปินส์ ครอบครัวมาร์กอสยังคงมีอิทธิพลแม้ว่าเคยมัวหมองแต่ตระกูลมาร์กอสก็ยังรักษาสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจไว้ได้อย่างเหนียวแน่น มีเสียงสนับสนุนแข็งแกร่งในฐานเสียง จ.Ilocos Norte ที่อีมี พี่สาวเป็น ส.ว.และอดีตผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนอิเมลดา มารดา ที่เคยลงเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2535 แต่ไม่ได้เคยเป็น ส.ส. 4 สมัยของจังหวัด
ข้อกล่าวหาต่อตระกูลมาร์กอส
“มีสิ่งดีๆ หลายเรื่องให้พูดถึงในช่วงนั้น” มาร์กอสจูเนียร์กล่าวกับรอยเตอร์ในปี 2559 ตอนที่ถูกถามถึงการปกครองของบิดา
แต่รัฐบาลชุดต่อมารายงานว่า หลังจากรัฐบาลมาร์กอสประกาศใช้กฎอัยการศึกตอนที่ลูกชายไปเรียนหนังสือที่อังกฤษ มีคนถูกซ้อมทรมานจับกุมคุมขังโดยพลการ และหายสาบสูญ 75,000 คน การปกครองของเฟอร์ดินาน-อิเมลดา มาร์กอส ถูกเรียกว่า “เผด็จการผัวเมียฉ้อฉล”
เหยื่อกฎอัยการศึกหลายพันคนได้รับเงินชดเชยที่ยึดมาได้ราว 600 ล้านดอลลาร์จากบัญชีธนาคารสวิตเซอร์แลนด์หลายบัญชี
รัฐบาลตั้งหน่วยงานแห่งหนึ่งมายึดทรัพย์มาร์กอส ส่วนใหญ่เป็นการยึดตามคำพิพากษาของศาล แต่ถึงบัดนี้ทวงคืนได้เพียง 3.41 พันล้านดอลลาร์ในเวลา 33 ปี ขณะที่มาร์กอสจูเนียร์บอกว่า ครอบครัวของเขาเคารพการตัดสินใจของศาลในเรื่องนี้
แรงต้าน
ฝ่ายต่อต้านตระกูลมาร์กอสประกาศว่าจะทำทุกวิถีทางไม่ให้มาร์กอสจูเนียร์ได้เป็นประธานาธิบดี บางคนยกคำพิพากษาหลบเลี่ยงภาษีเมื่อ 30 ปีก่อนมาฟ้องให้เขาขาดคุณสมบัติ บางคนบอกว่าสมควรถูกตัดสิทธิเลือกตั้งตลอดชีวิตไปเลย แต่ในเดือน ม.ค. คณะกรรมการการเลือกตั้งแผนกหนึ่งตีตกคำฟ้องดังกล่าว แต่มาร์กอสจูเนียร์ต้องเผชิญความผิดทางภาษีอีก 4 คดีเป็นอย่างน้อย ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าศาลจะพิพากษาเมื่อใด และฝ่ายที่แพ้สามารถสู้คดีได้ถึงชั้นศาลฎีกา แต่ด้วยคะแนนนิยมที่นำมาตลอด ดูเหมือนว่าตัวเก็งอย่างมาร์กอสจูเนียร์น่าจะทำภารกิจรีแบรนดิงครอบครัวได้ หลังจากถูก “พลังประชาชน” ลุกฮือขับไล่การปกครองเผด็จการของพ่อเมื่อ 36 ปีก่อน