โบรกชี้ กลุ่มพลังงาน-แบงก์ งบโตเด่น หนุนกำไรตลาดไตรมาส1/65 แตะ 2.6-3แสนล้าน
โบรก คาด กำไร บจ.ไตรมาส 1/65 โต "บล. เอเซียพลัส" ประเมินอยู่ที่ 2.6-2.7 แสนล้าน พร้อมแนะลงทุนหุ้นเปิดเมืองด้าน "บล.กสิกรไทย"ชี้ โต 8-10% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เหตุ กลุ่มพลังงาน - แบงก์ งบโตเด่น "บล.ทิสโก้" คาดแตะ 3 แสนล้าน สูงสุดเป็นประวัตการณ์ หนุนบรรยากาศการลงทุน
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 1 ปี 2565 อยู่ที่ 2.6-2.7 แสนล้านบาท ใกล้เคียช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 2.6 แสนล้านบาท แต่เติบโตขึ้นต่อเนื่องจาก ไตรมาส 4 ปีก่อนอยู่ที่ 1.09 แสนล้าน
กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ทำให้กำไรบจ.ปรับตัวขึ้นได้ดี มาจากกลุ่มคอมมูนิตี้ มีสต็อกเกรนในส่วนของน้ำมันและสินค้าในสต็อกของกลุ่มปิโตรเคมี ทำใหกำไรกลุ่มนี้น่าจะโดดเด่น ขณะที่กลุ่มแบงก์ น่าจะเติบโตได้บ้าง เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน การตั้งสำรองไม่ได้เพิ่มขึ้นแม้ว่าระดับ NPLจะขยับขึ้นมาก็ตาม ส่วนกลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มคอมเมิร์ซ แนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส1 ของปีเป็นฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยและยังคงมีมาตการคนละครึ่งเข้ามาสนับสนุน
แต่กลยุทธ์การลงทุนหุ้นในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ เราให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มหุ้นเปิดเมืองมากกว่า เนื่องจากเห็นภาพการฟื้นตัวของราคาหุ้นหลังจากที่ปรับลดลงแรงในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าบางธุรกิจจะขาดทุนลดลงหรือเริ่มกลับมามีกำไรได้บ้าง ยังเป็นหุ้นเด่นที่น่าสนใจ แนะนำ AOT ,M ,MINT ,MAKRO และในกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น เช่น THRELและ BLA
นอกจากนี้หากหมดช่วงประกาศงบไตรมาส 1 ปีนี้ คงต้องประเมินสถานการณ์ตลาดอีกครั้งว่าจะมีเทรนด์ในการฟื้นตัวจะไปในทิศทางไหน โดยเฉพาะสงครามรัสเซียกับยูเครน และนโยบายของเฟดการลดขนาดงบดุลจะเข้มข้นมากน้อยแต่ไหน
ขณะที่การเลือกลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก ยังต้องคัดเลือกรายตัวมากขึ้น หากมีระดับพีอีสูงมากความเสี่ยงก็สูงเกินไป แนะว่าควรจะลงทุนในหุ้นที่เห็นการทำกำไรอย่างชัดเจนดีกว่า
นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์กำไรบจ.ในไตรมาส 1 ปีนี้ มีแนวโน้มปรับขึ้นราว 8-10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และยังคงเติบโตดีต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปี 2564 เนื่องจากกลุ่มพลังงานมีกำไรเติบโตแรงมาก ทั้งจากค่าการกลั่นและราคาพลังงาน ปรับตัวขึ้นมาในระดับสูงมาก และภาพรวมทั้งตลาดพบว่าช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ และเริ่มเปิดประเทศ มีโมเมนตัมที่ดีจากไตรมาส 4 ปีก่อน แต่ในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาอาจมีผลกระทบบ้างน่าจะส่งผลชัดเจนในไตรมาส 2 ปีนี้มากกว่า
โดยหากพิจารณาในส่วนของ Earnings upgrade มีต่อเนื่องในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะมีการ downgrade ครั้งแรกในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ปรับลดไม่มากในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เช่น SCC และ SCGP เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการเข้าลงทุนในช่วงตลาดไซด์เวย์ แกว่งขึ้นลงทุน แนวรับ 1,650 -1,665 จุด และแนวต้าน 1,680-1,700 จุด โดยมองว่า ภาวะตลาดในไตรมาส 2ปีนี้ยังมีแรงกกดดัน 2 เรื่องคือ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นตั้งแต่มี.ค.เป็นต้นมายังไม่ปรับลดลงจนถึงปัจจุบัน มีโอกาสเห็นการปรับลดกำไรบจ.ในไตรมาส 2 ปีนี้ได้ (ไม่นับรวมกลุ่มหุ้นพลังงานที่ได้ประโยชน์) และการปรับขึ้นดอกเบี้ย ลดคิวทีของเฟดจะกระทบกับพีอีของตลาดเป็นแรงกดดันตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแต่ไม่รุนแรงมากเพราะหุ้นไทยส่วนใหญ่เป็นหุ้นแวลู พีอีไม่สูงมาก
แนะนำกลยุทธ์การลงทุน นักลงทุนต้องแบ่งสัดส่วนถือเงินสดกับหุ้น ที่ 40: 60 หรือ 50:50 เน้นการลงทุนในกลุ่มหุ้นดีเฟนซีฟหรือหุ้นปลอดภัยที่มีแนวโน้มเติบโตได้แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัว ได้แก่ BH GPSC DTAC CHIYO TFFIT
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2565 ของตลาดโดยรวมที่เบื้องต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2 หลักทั้งเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (YoY)และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ)แตะระดับ 3 แสนล้านบาทสูงสุดเป็นประวัติการณ์ น่าจะช่วยหล่อเลี้ยงบรรยากาศการลงทุนโดยรวมต่อเนื่องในเดือนนี้
ทั้งนี้ยังคงกลยุทธ์การเลือกหุ้นที่น่าสนใจ คือ 1.หุ้นที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น แนะนำPTTEP, PTTGC / BBL2.หุ้นเปิดเมืองรับการผ่อนคลายต่างชาติเข้าประเทศง่ายขึ้นและการเตรียมปรับ COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่นแนะนำMINTและ 3. หุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เด่นAP, BCH, SPVI
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน กล่าวว่า แนวโน้มกำไรของตลาดในไตรมาส 1 ปีนี้ แต่ละอุตสาหกรรมเติบโตไม่สอดคล้องกัน จะไม่หมือน 2 ปีที่ผ่านมา จะเติบโตไปในทิศทางเดียวกันพร้อมๆกัน พบว่า บางกลุ่มอาจผ่านพ้นจุดที่ผลประกอบการดีที่สุดไปแล้วหรือบางกลุ่มผลประกอบการเพิ่งเริมปรับตัวดีขึ้นมาก
อย่างเช่น กลุ่มแบงก์ อาจเห็นภาพกำไรปรับดีขึ้นทั้งช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ,กลุ่มท่องเที่ยว มีผลประกอบการค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมี ผลประกอบการผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและอาจจะเริ่มลดน้อยลงหรือไม่ดีเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตามตลาดในไตรมาส 2 ปีนี้อัพไซด์จำกัดและดาวไซด์เปิดมากกว่า จากหลายที่เริ่มมีการปรับประมาณการณ์จีดีพีโลกลดลง ทั้งจากตัวของเวิลด์แบงก์และไอเอ็มเอฟ ทำให้กลุ่มหุ้นที่เติบโตสอดคล้องเศรษฐกิจ เช่นกลุ่มธนาคาร อาจได้รับผลกระทบเชิงลบ เป็นปัจจัยถ่วงให้สินเชื่อเติบโตลดลงจากเดิม 7% ลดเหลือ 6% ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารราคายังทรงตัว แม้ประกาศงบไตรมาส 1 ออกมาดีก็ตาม
ส่วนกลุ่มที่เกี่ยวปัจจัยเชิงบวกประคองตลาดในช่วงระยะสั้น เป็นกลุ่มพลังงาน จากภาวะการตึงตัวของราคาพลังงาน จากส่งคราวยืดเยื้อและการคว่ำบาตรน่าจะเห็นชัดเจนมากขึ้น และกลุ่มท่องเที่ยวได้รับอานิสงส์จากการผ่อนคลายนโยบายตา่งๆ ทางเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐยกเลิกการห้ามเดินทางมาไทย และอาจมีมาตรการเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ทำให้ในช่วง1-2 สัปดาห์ข้างหน้ายังมีแรงเก็งกำไรเข้ามาได้
อย่างไรก็ตามเมื่อมีการปรับลดลงจีดีพีแล้ว มีโอกาสที่บจ.จะเริ่มส่งสัญญาณในระยะ1 เดือนข้างหน้า ปรับลดเป้าหมายการเติบโตในปี ทำให้นักวิเคราะห์มีโอกาสที่จะปรับดลดประมาณการกำไรและราคาที่เหมาะสมปีนี้ด้วยเช่นกัน และยังมีความท้าทายการขึ้นดอกเบี้ยและลดงบดุลของเฟด สภาพคล่องจะลดลงได้
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน แนะระมัดระวังการลงทุน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวในไตรมาส 2 ที่ 1,540- 1,730 จุด หากดัชนีปรับลดลงต่ำกว่า 1,600 จุด เป็นจังหวะเข้าสะสมได้ เน้นเก็งกำไรขั้นเวลา รอจุดซื้อที่ดี เน้นหุ้นปัจจัยเชิงบวก ท่องเที่ยว และมีแนวโน้มกำไรไตรมาส 1 ดี เช่น TOP ,BBL ,ASW,TKN ,SPA
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ ( 19 เม.ย.) ปรับตัวดีขึ้น จากแรงเก็งกำไรในหุ้นที่คาดว่างบ 1 ไตรมาส ปี 2565 จะออกมาดี เช่น พลังงาน, สินค้าอุตสาหกรรม, บันเทิง, ยานยนต์ เป็นต้น ขณะที่ หุ้น SCBB จะกดดันต่อเนื่องจนกว่า SCBX จะเข้าเทรด 27 เม.ย.นี้
สำหรับหุ้นเด่นกลุ่มที่งบดี คือ พลังงาน ธนาคาร ค้าปลีก เกษตรอาหาร ยานยนต์ บันเทิง ได้แก่ TOP KBANK M GFPT AH