ไทย "เปิดประเทศเต็มรูปแบบ" ลงทุนหุ้นตัวไหนดี?
ขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ หลังเริ่มคุ้นชินปรับตัวเข้ากับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ได้มากขึ้น ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง
ส่วนประเทศไทยของเราหลังถูกพิษโควิดเล่นงานมากว่า 2 ปี จนเศรษฐกิจทรุดหนัก โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นหนึ่งในรายได้หลักของประเทศ คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 20% ของจีดีพี ที่ผ่านมาถือว่าอาการโคม่า หลังต้องปิดประเทศไปนานหลายเดือน
แต่ล่าสุดมีข่าวดี หลังที่ประชุม ศบค. ชุดใหญ่ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ไฟเขียว “เปิดประเทศเต็มรูปแบบ” เริ่ม 1 พ.ค. นี้ ด้วยการยกเลิกมาตรการ Test & Go โดยผู้เดินทางที่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ที่กำหนด ไม่ต้องตรวจหาเชื้อเมื่อมาถึง
จากปัจจุบันที่ต้องตรวจ RT-PCR ในวันแรก และตรวจ ATK วันที่ 5 โดยแนะนำให้ตรวจ Self-ATK ระหว่างพำนัก ซึ่งหากพบเชื้อให้เข้าสู่กระบวนการตามประกันภัย หรือตามความรับผิดชอบส่วนบุคคล
ส่วนผู้เดินทางที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับไม่ครบตามเกณฑ์ ให้ยื่นหลักฐานผลตรวจ RT-PCR ไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนเดินทางถึงประเทศไทย และลงทะเบียนแสดงหลักฐานดังกล่าวในระบบ Thailand Pass หรือ หากกักตัวตามระบบ AQ ให้ตรวจ RT-PCR ในวันที่ 4-5 และแนะนำให้ตรวจ Self-ATK ระหว่างพำนัก หากพบเชื้อ ให้เข้ากระบวนการตามประกันภัย หรือตามความรับผิดชอบส่วนบุคคล
พร้อมกันนี้ ได้มีการปรับระดับพื้นที่ของโรคโควิด-19 ใหม่ ยกเลิกพื้นที่สีแดง (ควบคุมสูงสุด) และสีส้ม (ควบคุม) โดยปรับพื้นที่สีเหลือง (เฝ้าระวังสูง) เพิ่มเป็น 65 จังหวัด จากเดิม 47 จังหวัด และพื้นที่สีฟ้า (นำร่องการท่องเที่ยว) เพิ่มเป็น 12 จังหวัด จากเดิม 10 จังหวัด
นอกจากนี้ ยังได้ขยายเวลาดื่มเครื่องดื่มแอลกอออล์ในร้านอาหารที่ผ่านมาตรฐาน SHA+ หรือ Thai Stop COVID 2 Plus ได้ไม่เกิน 24.00 น. จากเดิมไม่เกิน 23.00 น. เพื่อสอดรับกับการเปิดประเทศและการให้บริการนักท่องเที่ยว
ขณะที่ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ยกเลิกคำเตือนห้ามเดินทางมายังประเทศไทยและอีก 89 ประเทศ พร้อมปรับอันดับไทยอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงจากโควิด-19 ในระดับ 3 จากเดิมอยู่ที่ระดับ 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด
โดยสหรัฐฯ มองว่าไทยยังมีความเสี่ยงสูงจากสถานการณ์โรคระบาด จึงแนะนำให้ชาวอเมริกันฉีดวัคซีนสูตรที่มีการปรับปรุงล่าสุดก่อนเดินทางมาไทย จากเดิมที่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการเดินทาง
เชื่อว่าตั้งแต่เดือน พ.ค. นี้ หลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ บรรยากาศการท่องเที่ยวไทยจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังการเดินทางสะดวกขึ้น กลับไปเหมือนช่วงก่อนเกิดโรคระบาด โดยแทบไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับอะไรอีกแล้ว เพียงแค่ฉีดวัคซีนครบก็สามารถเดินทางเข้ามาได้
ส่งผลบวกต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไล่มาตั้งแต่สายการบิน สนามบิน ที่เป็นด่านแรกในการรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ธุรกิจโรงแรง ที่พัก ร้านอาหาร สปา ไปจนถึงกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการ Reopening เศรษฐกิจ ทั้งภาคการค้าปลีก ศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์ ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค การขนส่ง โรงพยาบาล ฯลฯ
โดยบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า ขณะนี้ประเทศต่างๆ ทยอยผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 มากขึ้น รวมถึงไทยด้วย คาดว่าจะเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2565 เป็นต้นไป ถ้าไม่มีโควิดกลายพันธุ์ใหม่ที่รุนแรงเข้ามา
ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้าไทยราว 6-7 ล้านคนในปี 2565 และเพิ่มเป็น 19-20 ล้านบาทในปี 2566 และกว่า 30 ล้านคนในปี 2567
โดยฝ่ายวิจัยมองว่าธีม Reopening ยังน่าสนใจลงทุน โดยหลายบริษัทผลประกอบการจะฟื้นตัวดีขึ้นมากในปี 2565 และเติบโตต่อเนื่องในปี 2566-2568 แนะนำทยอยสะสมหุ้นที่เกี่ยวกับ Reopening หุ้นเด่นได้แก่
- กลุ่มการบิน AOT, AAV, BA
- กลุ่มโรงแรมและอาหาร ERW, CENTEL, MINT
- กลุ่มขนส่ง BEM, BTS
- กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA, ROJNA, WHA
- กลุ่มสื่อสาร ADVANC
- กลุ่มค้าปลีกและพื้นที่ให้เช่า CPALL, CPN
- กลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH, EKH, WPH