"หุ้นร้อน" จ่อโดนเทขาย "ล็อกกำไร" หนีปัจจัยลบ
"โบรก" คาดมีโอกาสเห็นแรงขายหุ้นที่ราคาพุ่งแรงเกินพื้นฐาน "บล.เอเซียพลัส" เหตุมีปัจจัยเสี่ยงกดดันภาพรวมหุ้นไทย “บล.ยูโอบีฯ” ชี้พ.ค. -มิ.ย. ตอบรับข่าวลบ นักลงทุนปรับพอร์ตล็อกกำไร มองกรอบดัชนี 2 เดือนข้างหน้า แนวรับ1,600 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้มีปลายปัจจัยเข้ามากระทบจากปัจจัยไม่แน่นอนของนโยบายทางการเงินที่ค่อนข้างตึงตัวในปัจจุบันหลังมีกระแสข่าวที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยระดับสูงสุดในการประชุมที่จะถึงนี้มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเห็นแรงขายหุ้นเก็งกำไร หรือ หุ้นที่ผ่านมามีการปรับตัวขึ้นมาร้อนแรงเกินปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงถูกนักลงทุนเทขายออกมาอย่างต่อเนื่องได้
รวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พยายามเข้ามาควบคุมและกำกับดูแลการซื้อขายของหุ้นกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น สะท้อนผ่านมาตรการต่างๆ ที่ออกมาเพื่อหวังควบคุมความร้อนแรงของหุ้นกลุ่มเก็งกำไรเกินพื้นฐานแท้จริง
อย่างไรก็ตาม แนะนำนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเก็งกำไรให้หาจุดทำกำไรที่แน่นอน หรือมีจุดตัดขายทำกำไร รวมทั้งการพิจารณาผลประกอบการก่อนตัดสินใจเข้าลงทุน หากบริษัทใดที่ไม่มีผลประกอบการเติบโตรองรับ แต่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาในระดับสูง จะยิ่งทำให้ระดับ P/E ปรับตัวขึ้นสูงตามด้วยเช่นกัน ดังนั้น ในแง่การลงทุนสามารถทำได้เพียงแค่เก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในเดือนพ.ค.ถือว่าเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นจะตอบรับปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น จากปัจจัยต่างประเทศ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ จะใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัว จากการลดงบดุล ขึ้นดอกเบี้ย และจากปัจจัยสงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครน ทั้งการปรับประมาณการเศรษฐกิจ (จีดีพี) กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.)
ทั้งนี้จากปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวก็จะทำให้เห็นนักลงทุนมีการปรับพอร์ตเพื่อขายเพื่อล็อกกำไร ในหุ้นที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมาได้ แต่ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วง ปลายเดือนเม.ย.และเดือนพ.ค. ตลาดจะปรับตัวลงแต่อาจจะปรับลงไม่ได้แรง เพราะ ปัจจัยลบดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ตลาดรับทราบอยู่แล้วไม่ได้มีปัจจัยลบใหม่ที่เซอร์ไพรส์ตลาด
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 เดือนข้างหน้า คาดว่าจะผันผวน จากปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวแต่ก็เป็นปัจจัยที่ทราบกันอยู่แล้ว โดยประเมินแนวรับจะอยู่ที่ 1,600-1,630 จุด แนวต้านที่ระดับ 1,700 จุด ซึ่งหากดัชนีปรับตัวลดลง มาเป็นจังหวะที่นักลงทุนจะหาเข้าทยอยสะสมได้ โดยหุ้นที่แนะนำลงทุนจะยังคงเป็นหุ้นที่ในธีม การเปิดประเทศ การฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ กล่าวว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนทำให้มีแรงเทขายหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ส่วนตัวยังแนะนำลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็กในตัวที่มีพื้นฐานดี แต่ในส่วนของหุ้นที่มีแรงเก็งกำไรเกินปัจจัยพื้นฐานนั้น เห็นด้วยกับมาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้ามาควบคุมดูแล โดยมาตรการดังกล่าวช่วยชะลอปริมาณการซื้อขายหุ้นกลุ่มเก็งกำไรที่ราคาหุ้นร้อนแรงได้ไม่มากก็น้อย
ส่วนประเด็นที่นโยบายการเงินมีความไม่แน่นอนสูงนั้น มองว่าไม่ค่อยมีผลกระทบต่อหุ้นขนาดกลาง-เล็กในตลาดหุ้นไทย ดังนั้น นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นเก็งกำไร แนะนำให้ดูหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานธุรกิจรองรับราคายังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง รวมทั้งยังมีระดับ P/E ไม่สูงเกินไป