“Dow” ชู “โพลีสไตรีน” หนุนผู้ผลิตไทยสู่อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ
Dow หนุนผู้ประกอบการไทยลดคาร์บอน ด้วยการใช้โพลีสไตรีน แทน ABS ในการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและของเล่นเด็ก ช่วยประหยัดการใช้พลังงาน-ลดต้นทุน-ปัญหาสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์เป้าหมายด้านความยั่งยืนและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
Dow มุ่งสู่การเป็นบริษัทนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากที่สุดในโลก โดยมุ่งมั่นจะลดการปล่อยคาร์บอนจำนวน 5 ล้านตันต่อปี ภายในปี พ.ศ. 2573 หรือ ลดลง 15% จากฐานปี พ.ศ. 2563 ยิ่งไปกว่านั้นจะเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) ภายในปี พ.ศ. 2593 โดยบริษัทฯ ตั้งใจที่จะใช้และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทรัพยากรน้อยลง อีกทั้งยังจะช่วยให้ลูกค้าของ Dow ได้ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจโพลีสไตรีนของ Dow จึงได้ผลักดันการนำเม็ดพลาสติก High Impact Polystyrene (HIPS) ซึ่งเป็นโพลีสไตรีนที่เหมาะสำหรับใช้ในงานที่ต้องรับแรงกระแทก มีน้ำหนักเบา ดูดซับความชื้นต่ำ มีอุณหภูมิการใช้งานที่ต่ำกว่า จึงประหยัดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการผลิต และมีค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ต่ำกว่า รวมทั้งสามารถรีไซเคิลได้ จึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าเมื่อเทียบกับการใช้ ABS ในการผลิตตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ วิทยุ เฟอร์นิเจอร์ และของเด็กเล่น
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2562 – 2565 Dow สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยลดการปล่อยคาร์บอนซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนโดยการเปลี่ยนวัตถุดิบในการผลิตได้ถึง 22,978 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 68,779 ไร่ต่อปี
นายฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งประเทศและโลกจะยั่งยืนได้ต้องมีการบริโภคและธุรกิจที่ยั่งยืนเป็นตัวขับเคลื่อน และนวัตกรรม คือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมาย ปีนี้ Dow ครบรอบ 125 ปี ในการก่อตั้งบริษัท เป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมที่มุ่งมั่นในการพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการใช้งานและด้านสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด Dow มีความยินดีและพร้อมที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการให้ก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนเพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก ควบคู่กับดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
Dow เป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติกโพลีสไตรีนคุณภาพสูงรายใหญ่ของประเทศไทย กระบวนการผลิตมีการปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับกระบวนการผลิตโดยทั่วไป นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ยังได้รับการยอมรับด้านคุณภาพและคุณสมบัติที่โดดเด่นหลากหลายประการเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์เดียวกันในตลาด อาทิ มีความโดดเด่นในด้านความเงา สามารถทนต่อสารเคมีได้ดี จึงตอบโจทย์การนำไปใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม สามารถใช้ทดแทนวัสดุที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงกว่าได้ในหลายอุตสาหกรรม
นายอนุรักษ์ รัศมีอมรวิวัฒน์ Technical Service and Development & Climate Change กลุ่มดาว ประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการควรปรับเปลี่ยนวัสดุในการผลิตโดยใช้วัสดุที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องความยั่งยืนและช่วยให้องค์กรและประเทศก้าวสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ยังเป็นจุดขายและโอกาสทางธุรกิจเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันกับนานาชาติ