กฟผ.เร่งแผนปรับปรุงสายส่ง เสริมความมั่นคงไฟฟ้า“อีอีซี”

กฟผ.เร่งแผนปรับปรุงสายส่ง เสริมความมั่นคงไฟฟ้า“อีอีซี”

คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 เม.ย.2565 อนุมัติเพิ่มวงเงินลงทุน 2 โครงการให้กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วงเงิน 15,200 ล้าน รวมวงเงินเดิมเป็น 34,450 ล้าน

เพื่อเสริมความมั่นคง รองรับการขยายตัวกลุ่มอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวและสนับสนุนหนุนเศรษฐกิจประเทศโต ซึ่งหลังจากนี้ กฟผ.ได้เร่งจัดทำรายละเอียดเพื่อเดินหน้าตามแผนงานที่วางไว้ โดย 2 โครงการ นำเสนอโดยกระทรวงพลังงาน ประกอบด้วย 

1.โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (โครงการ TIPE) เพิ่มวงเงินลงทุนจำนวน 9,000 ล้านบาท จากเดิมที่อนุมัติไว้ 12,000 ล้านบาท รวมวงเงินลงทุนโครงการทั้งสิ้น 21,000 ล้านบาท

2.โครงการระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ 3 (โครงการ IPP3) เพิ่มวงเงินลงทุนจำนวน 6,200 ล้านบาท จากเดิมที่อนุมัติไว้ 7,250 ล้านบาท รวมวงเงินลงทุนโครงการทั้งสิ้น 13,450 ล้านบาท โดยใช้วงเงินงบประมาณลงทุนในปี 2564-2565

กฟผ.เร่งแผนปรับปรุงสายส่ง เสริมความมั่นคงไฟฟ้า“อีอีซี” ทั้งนี้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้นำเสนอขออนุมัติงบประมาณทั้ง 2 โครงการได้ให้เหตุผลถึงความจำเป็นที่ต้องปรับเพิ่มวงเงินลงทุนในครั้งนี้ เนื่องจากพื้นที่ดำเนินการก่อสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้าของทั้ง 2 โครงการ อยู่ในพื้นที่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง และจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ดังนั้น การดำเนินโครงการ TIPE และโครงการ IPP3 จะต้องมีการรอนสิทธิและจ่ายทดแทนกรรมสิทธิ์ที่ดินและทรัพย์สิน (ค่าทดแทนฯ) ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยองและจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งตามรายงานการศึกษาความเหมาะสมของแต่ละโครงการ กฟผ.ได้ประมาณการค่าทดแทนกรรมสิทธิ์ที่ดินและทรัพย์สิน โดยใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินที่ใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (ราคาประเมินทุนทรัพย์ฯ) ปี 2551-2555 ของกรมธนารักษ์ มาเป็นฐานในการคำนวณ และมีสมมติฐานที่เกี่ยวข้อง

ในคราวประชุมครั้งที่ 21/2563 เมื่อวันที่ 18 มี.ค.2563 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้พิจารณากำหนดราคาที่ดินและทรัพย์สินสำหรับการคำนวณค่าทดแทนฯ เขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า ของโครงการ TIPE และโครงการ IPP3 และมีมติให้ กฟผ. นำราคาประเมินทุนทรัพย์ฯ ปี 2559-2562 ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปี 2563 มาปรับในอัตรา 7.45 เท่าเพื่อเป็นเกณฑ์ในการคิดคำนวณค่าทดแทนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามหลักเกณฑ์ที่ กกพ.กำหนด

ส่วนค่าทดแทนทรัพย์สินให้ใช้บัญชีราคากลางอาคาร โรงเรือน และสิ่งปลูกสร้างของสำนักงาน กกพ. ปี 2562 และบัญชีราคากลางต้นไม้และพืชผลของสำนักงาน กกพ.ปี 2562 เป็นเกณฑ์ในการคิดคำนวณ จึงส่งผลให้ราคาที่ดินและทรัพย์สินที่นำมาใช้ในการคิดคำนวณค่าทดแทนเพิ่มสูงกว่าราคาที่ประมาณการไว้ ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงต้องเสนอเพิ่มวงเงินลงทุนดังกล่าว

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหาร กฟผ.กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้ กฟผ.จัดทำรายละเอียดทั้ง 2 โครงการร่วมกับกกพ. โดยรายละเอียดของแผนงานทั้ง 2 โครงการจะแล้วเสร็จภายในเดือน เม.ย.-พ.ค.2565

สำหรับโครงการ TIPE เป็นโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออก เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าให้การส่งจ่ายพลังงานไฟฟ้ามีความต่อเนื่อง และเพียงพอต่อความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังรองรับโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ส่งเสริมการขยายตัวของอุตสาหกรรมและธุรกิจการท่องเที่ยวในภาคตะวันออกของไทย ซึ่งมีความสำคัญด้านเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้าให้สามารถรองรับโรงไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น และแก้ไขข้อจำกัดด้านระบบกระแสลัดวงจรในระยะยาว คาดว่าจะก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูงและสถานีไฟฟ้าแรงสูงแล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค.2570 ปัจจุบันมีสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว 2 แห่ง อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างอีก 5 แห่ง รวม 7 แห่ง

ส่วน IPP3 เพื่อเชื่อมโยงโครงการโรงไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ 3 ปริมาณ 5,000 เมกะวัตต์ หรือ IPP ที่ผ่านการคัดเลือกคือ บริษัท กัลฟ์ เอสอาร์ซี จำกัด เข้ากับระบบไฟฟ้าของ กฟผ.สนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในภาคตะวันออก และภาคกลาง เพิ่มความคล่องตัวในด้านปฏิบัติ การควบคุมและการจ่ายไฟฟ้าในภาคตะวันออก รวมทั้งกรณีที่ต้องปลดโรงไฟฟ้าเข้าหรือออกในการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ และโรงไฟฟ้าที่หยุดซ่อมบำรุงรักษา

ทั้งนี้ คาดว่าจะก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูงและสถานีไฟฟ้าแรงสูงแล้วเสร็จภายในเดือนมี.ค.2566 เพื่อรองรับการจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าบริษัทเอกชนที่ผ่านการคัดเลือก ซึ่งมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในวันที่ 31 มี.ค.2566 ซึ่งปัจจุบันกำลังดำเนินการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 3 แห่ง

สำหรับการอนุมัติวงเงินดังกล่าวจะทำให้ กฟผ.สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าของบริษัทที่ผ่านการคัดเลือกได้ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ เนื่องจากปัจจุบันศักยภาพของสถานีไฟฟ้าแรงสูงปลวกแดงสามารถรองรับโรงไฟฟ้าได้เพียงโครงการเดียว กฟผ.จึงต้องสร้างสายส่ง 500 กิโลโวลต์ ปลวกแดง-ฉะเชิงเทรา 2 ให้แล้วเสร็จทันกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าของบริษัทดังกล่าว

นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ทั้ง 2 โครงการถือเป็นโครงการที่ดำเนินการมาอยู่ก่อนแล้ว การที่ กฟผ.ขออนุมัติงบประมาณต่อครม. ก็เพื่อขออนุมัติงบประมาณนำมาใช้จ่ายในเรื่องของการรอนสิทธิและจ่ายทดแทนกรรมสิทธิ์ที่ดินและทรัพย์สิน (ค่าทดแทนฯ) ในพื้นที่ 3 จังหวัดในอีอีซี เมื่อเวลาผ่านมานานราคาที่ดินที่เพิ่มมากขึ้น 

ดังนั้น เมื่อ ครม.อนุมัติงบประมาณ การดำเนินการทั้ง 2 โครงการถือเป็นการดำเนินการต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ติดขัด และยังคงเป็นไปตามแผนงานเดิมที่วางไว้