MTC ไตรมาส1/65 กำไรนิวไฮ 1,375 ล้านบาท -มั่นใจปีนี้พอร์ตทะลุ 1 แสนล้าน
เมืองไทยแคปปิตอล เผยไตรมาส1/65 กำไรนิวไฮพุ่งแตะ 1,375 ล้านบาท และยอดลูกหนี้คงค้างอยู่ที่ 98,612 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ยอดลูกหนี้คงค้างใกล้แสนล้าน เติบโตกว่า 30% เดินหน้าผุดสาขา-ปล่อยสินเชื่อเชิงรุก-มั่นใจปีนี้พอร์ตทะลุ 1 แสนล้านบาท
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 1/65 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2565 ทำสถิติ New High ได้อีกครั้ง โดยบริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 4,448 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 15.31% มีกำไรสุทธิ 1,375 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากยอดสินเชื่อคงค้างที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและใน ไตรมาสแรกของปีนี้ ได้สร้างสถิติสูงสุดใหม่ โดยมีสินเชื่อคงค้างกว่า 98,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25,065 ล้านบาท หรือ 34.08% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 31 เดือนมีนาคม 2565 มีการเปิดสาขาใหม่เพิ่มเป็นจำนวน 362สาขา ส่งผลให้ บริษัทฯ มีสาขา 6,161 สาขา กระจายทั่วประเทศ
นายชูชาติ กล่าวว่า แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ แต่ไม่ได้ทำให้พอร์ตสินเชื่อของบริษัทฯชะลอตัว เนื่องจากได้มีการวางแผนและกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก เพื่อขยายฐานลูกค้า รองรับดีมานด์ลูกค้าที่มีจำนวนมากทั่วประเทศ โดยในปีนี้วางแผนเปิดสาขาใหม่ 700 สาขา เมื่อรวมกับสาขาเดิมที่มีอยู่จะทำให้ภายในสิ้นปี 2565 จะมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 6,500 สาขา ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทฯที่มีจำนวนสาขา และลูกค้ามากที่สุดในประเทศไทย เพื่อให้สามารถบริการแก่ผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อได้อย่างทั่วถึงและกระจายในวงกว้างมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จึงมั่นใจว่าปีนี้พอร์ตสินเชื่อจะมีการเติบโตประมาณ 30% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา
“ในปีนี้ MTC ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อพุ่งแตะระดับ 100,000 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจหลักคือ เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) และธุรกิจที่ตั้งขึ้นใหม่ คือ เมืองไทย ลิสซิ่ง (MTLS) และเมืองไทย เพย์ เลเทอร์ (MTPL) เป็นธุรกิจที่จะเข้ามาสนับสนุนการทำธุรกิจในอนาคต โดยมีการวางแผนการทำตลาดทั้งลูกค้าเดิมที่มีประวัติการชำระหนี้ดี และการเข้าหาลูกค้าใหม่ที่มีความต้องการใช้บริการผ่านการดำเนินงานของสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ” นายชูชาติกล่าว
นายชูชาติ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เร่งทำการตลาดเพิ่มอีก 2 ธุรกิจ คือ บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด ที่ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยตั้งเป้าว่าในปี 2565 จะมียอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 10,000 ล้านบาท และบริษัท เมืองไทย เพย์ เลเทอร์ จำกัด ที่ให้บริการ “ซื้อก่อน ผ่อนทีหลัง” กับกลุ่มลูกค้าเดิม และหาลูกค้าใหม่มาเพิ่มเติม โดยการเสนอสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า ,คอมพิวเตอร์ , เครื่องใช้และของใช้ในบ้าน ตามนโยบาย ซื้อก่อน ผ่อนทีหลัง ซึ่งทั้ง 2บริษัท ถือหุ้นโดย เมืองไทย แคปปิตอล เกือบ 100%
นายชูชาติ กล่าวอีกว่า ในส่วนของแผนการดำเนินงานในช่วง 4 ปี ข้างหน้า (2569) วางเป้าพอร์ตสินเชื่อทะลุ 200,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว เทียบปี 2565 ที่วางเป้าทะลุ 100,000 ล้านบาท ซึ่งการจะก้าวสู่เป้าเลยหมายดังกล่าว บริษัทฯต้องเติบโต 20-25% ต่อปี ตลอด 4 ปี อีกทั้งยังวางเป้าหมายควบคุมหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) ไม่เกิน 2%