'เสถียร เศรษฐสิทธิ์'ลาออกจากประธานกรรมการ 'คาราบาวกรุ๊ป' มีผล14 พ.ค.65

'เสถียร เศรษฐสิทธิ์'ลาออกจากประธานกรรมการ 'คาราบาวกรุ๊ป' มีผล14 พ.ค.65

"คาราบาวกรุ๊ป" แจ้งว่า "เสถียร เศรษฐสิทธิ์" ลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ มีผลตั้งแต่14 พ.ค.65 แต่ยังคงดำรงตำแหน่ง กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยตั้ง ณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ เป็นประธานกรรมการแทน ส่วนไตรมาส1/65 มีกำไรสุทธิ 660.25 ล้าน ลดลง 5.7%

บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือCBG แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่า เพื่อปฎิบัติให้เป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี และสร้างธรรมาภิบาลด้านการบริหารจัดการ โดยมุ่งหมายยกระดับหลักการธรรมาภิบาล ความโปร่งใส ของบริษัท คาราบาวกรุ๊ปตลอดจนเป็นการสอดคล้องกับประกาศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าด้วย หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดำรงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียน

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่2/2565 ประชุมวันที่13 พ.ค. 2565ได้มีมติที่เกี่ยวข้องดังนี้

1. รับทราบการลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ ของนายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ มีผลตั้งแต่วันที่14 พ.ค. 2565 เป็นต้นไปหลังการลาออกจากประธานกรรมการ นายเสถียร ยังคงดำรงตำแหน่ง กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท

2. ที่ประชุมฯ มีมติแต่งตั้งนางสาวณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ เป็นประธานกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งที่ประชุมฯ ได้พิจารณากลั่นกรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งคุณสมบัติความเหมาะสมในหลายๆ ด้าน โดยก่อนหน้านี้นางสาวณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ ดำรงตำแหน่ง รองประธานคณะกรรมการ และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทมาตั้งแต่แรก จึงมีความรู้ความสามารถในธุรกิจเป็นอย่างดีทั้งนี้โดยมีผลตั้งแต่วันที่14 พฤษภาคม 2565เป็นต้นไป

สำหรับผลดำเนินงานไตรมาส1ปี 2565 มีกำไรสุทธิ 660.25 ล้านบาท ลดลง 5.7%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ700.20 ล้านบาท  เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในส่วนผสมผลิตภัณฑ์ตามยอดขาย (Product mix) ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบและหีบห่อในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัท ดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองตามที่กล่าวข้างต้น
 

 ทั้งนี้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นเท่ากับ 1,466 ล้านบาท ลดลง5.7% คิดเป็นอัตรากeไรขั้นต้นที่ 30.7% ลดลงจากอัตรากำไรขั้นต้น 38.6 %ในช่วงระยะเวลาเดียวกันปีก่อนหน้าจากการเปลี่ยนแปลงในส่วนผสมผลิตภัณฑ์ตามยอดขาย (Product mix) กล่าวคือ สัดส่วนรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ดำเนินการผลิตด้วยตนเอง

โดยเป็นธุรกิจหลักปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 62.5% เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันปีก่อนซึ่งอยู่ที่78.2%ของรายได้จากการขายรวม ประกอบกับบริษัทฯ มีต้นทุนวัตถุดิบและหีบห่อที่ใช้ในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของราคาอลูมิเนียม

ขณะที่บริษัทมีรายได้จากการขายรวมเท่ากับ 4,783 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7%โดยในจำนวนนี้บริษัทฯ มีรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกเท่ากับ 1,417 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.7%จากประสิทธิภาพการกระจายผ่านช่องทางหน่วยรถเงินสด

ประกอบกับคุณภาพและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบพัฒนาการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รายได้อื่นเท่ากับ 257 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 305.9% จากการผลิตและจำหน่ายขวดแก้วที่ใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ให้แก่บริษัทคู่ค้า ชดเชยการปรับตัวลดลงของรายได้จากการขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเอง