สศช.หั่นจีดีพีปี 65 เหลือ 2.5 - 3.5% รับผลกระทบสงครามยูเครน - จีนใช้ซีโร่โควิด
สศช.แถลงจีดีพีไตรมาส 1/65 ขยายตัว 2.2% การส่งออก การฟื้นตัวภาคท่องเที่ยวหนุน ปรับจีดีพีปีนี้ลงเหลือ 2.5 - 3.5% รับความไม่แน่นอนสถานการณ์โลก "ดนุชา" ชี้ไทยต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้นจากสงครามยืดเยื้อ วอนไทยเที่ยวไทยหนุนเศรษฐกิจ ส่วนคนละครึ่งต้องหารือ คลัง-แบงก์ชาติก่อน
วันนี้ (17 พ.ค.) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)แถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 1 ปี 2565 ว่าจีดีพีขยายตัว 2.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
โดยการขยายตัวของจีดีพีในไตรมาสที่ผ่านมามาจากการขยายตัวจากทั้งในภาคเกษตร และนอกภาคเกษตร โดยในส่วนของในภาคเกษตรขยายตัว 4.1% และนอกภาคเกษตรขยายตัวได้ 2% โดยภาคการส่งออกยังขยายตัวได้ดีถึง 12% ส่วนการนำเข้าขยายตัวได้ 6.7%
ส่วนการอุปโภคบริโภคของภาครัฐขยายตัวได้ 4.6% การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ 3.9% ส่วนภาคโรงแรมและภัตาคารขยายตัวได้มากถึง 29.1% ตามการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้น โดยในไตรมาสที่ 1 ของปีมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยมากถึง 5 แสนคน มากกว่าปีที่แล้วทั้งปีจากมาตรการการผ่อนคลายที่เพิ่มขึ้น และสถานการณ์โควิดที่คลี่คลายยลง
อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนในต่างประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์การสู้รบในยูเครนที่ยืดเยื้อและมีการคว่ำบาตรรัสเซียที่อาจยืดเยื้อยาวนานกระทบกับเศรษฐกิจโลกหลายส่วน รวมทั้งนโยบายซีโร่โควิด ของจีนที่เข้มข้นทำให้กระทบกับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย สศช.ได้ปรับคาดการณ์จีดีพีทั้งปี 2565 ลงจากระดับ 3.5 – 4.5% เหลือ 2.5 – 3.5% หรือค่ากลางที่ 3 %
โดยคาดการณ์ค่าเงินบาทที่ 33 - 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯและราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ 95 – 105.5 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
“การปรับคาดการณ์จีดีพีลงในปีนี้เป็นผลมาจากสถานการณ์ในต่างประเทศ ราคาพลังงาน และเงินเฟ้อเป็นหลัก โดยเฉพาะสถานการณ์ในต่างประเทศที่เริ่มมีการจำกัดการส่งออกวัตถุดิบในเรื่องปุ๋ย อาหาร เช่น ข้าวสาลี ซึ่งไทยต้องพึ่งพาตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ประเทศไทยเป็นประเทศที่นำเข้าพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งจะมีผลกระทบได้มากที่ต้องดูให้ดี รวมทั้งในเรื่องของชิปที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบในวงกว้าง ในระยะต่อไปคงต้องใช้วัตถุดิบทดแทนบางส่วน”
สำหรับประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปีนี้ยังต้องให้ความสำคัญกับภาคการส่งออก การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเบิกจ่าย 95.2% รัฐวิสาหกิจ 70 % รวมทั้งรักษาการลงทุนต่อเนื่องอื่นๆ
การดึงนักท่องเที่ยวและนักลงทุนเข้ามายังประเทศไทยในมาตรการ LTR Visa ต้องทำให้ชัดเจน และทำทันทีที่ประกาศจากกระทรวงมหาดไทยมีผลบังคับใช้ เพื่อให้อยู่ได้นานและมีการใช้จ่ายได้นานขึ้น และการดูแลเรื่องกำลังซื้อของประชาชน
และต้องดูแลภาคครัวเรือนมากขึ้นไม่ให้มีปัญหาหนี้สินและครัวเรือน รวมทั้งควบคุมราคาสินค้าจำเป็น และดูแลกลุ่มเปราะบาง
นอกจากนี้ สศช.ยังขอให้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศก่อนและขอให้เที่ยวต่างประเทศเท่าที่จำเป็น เพราะแม้ขณะนี้อัตราการเข้าพักในไทยถึง 40% แต่ควรที่จะเพิ่มมากขึ้นซึ่งคนไทยต้องช่วยกันท่องเที่ยวให้มากขึ้นเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศ
ส่วนการใช้มาตรการคนละครึ่งเฟส 5 หรือ การกู้เงินเพิ่มเติมจะมีหรือไม่ หน่วยงานเศรษฐกิจอย่างกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องหารือร่วมกันอย่างรอบครอบถึงความจำเป็น และทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดเพราะต้องมีการคิดเผื่อถึงความจำเป็นที่ต้องใช้ในระยะต่อไปด้วยเพราะขณะนี้สถานการณ์โลกถือว่าไม่ปกติและมีความไม่แน่นอนสูง
“สถานการณ์โลกขณะนี้ไม่ปกติ และคาดการณ์ได้ยาก ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนที่ช่วยกัน เพื่อให้ประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกัน รัฐบาลจะมีการช่วยเหลือประชาชนแต่ต้องเป็นการช่วยเหลือแบบพุ่งเป้าเนื่องจากทรัพยากรมีจำกัด”