ลุ้นศบค.อนุมัติถอดหน้ากาก การอ่อนค่าของ USD หนุนบรรยากาศลงทุน
ผลตอบแทนพันธบัตรและค่าเงินสหรัฐฯที่ปรับลงบรรยากาศลงทุนระหว่างรอข้อมูลเพิ่มเติมทางเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นช่วงสั้นไม่มีปัจจัยใหม่ โดยรวมยังเป็นการเคลื่อนไหวระหว่างความกังวลผลกระทบของนโยบายการเงินสหรัฐฯ ที่ตึงตัวและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อาจจะชะลอลง
กับความคาดหวังว่า ณ ระดับราคาปัจจุบันตลาดหุ้นได้สะท้อนปัจจัยดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งเรามองตลาดจะยังคงเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัวออกข้าง และอาจฟื้นตัวสลับ แต่จะไม่พังเป็นขาลง โดยคาดตลาดมีโอกาสจะกลับมาเคลื่อนไหวมีทิศทางอีกครั้งหากโมเมนตัมทางเศรษฐกิจกลับมาฟื้นชัดเจนในครึ่งปีหลัง หรือเข้าสู่ช่วงปลายของวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงไม่เกินต้นปี 2565 (และอาจเร็วกว่านั้น)
กลุ่มเปิดเมืองจะได้จิตวิทยาจากการเพิ่มการผ่อนคลาย ในการประชุมวันนี้กระทรวงสาธารณสุขเตรียมเสนอศบค. เพิ่มการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด โดยการพื้นที่สีเขียว และมีแนวโน้มจะอนุญาตให้สามารถถอดหน้ากากอนามัยในพื้นที่สาธารณะ และการเปิดสถานบริการ การเดินหน้าเข้าสู่ชีวิตปกติ จะช่วยในการฟื้นตัวของภาคบริการ และการบริโภค ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มเปิดเมือง และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการบริโภค ได้แก่ CENTEL, MINT, CPN, MAJOR, SPA, MAKRO, CPALL
อินโดนีเซียยกเลิกการห้ามส่งออกน้ำมันปาล์ม ส่งผลให้ภาวะตึงตัวของน้ำมันปาล์มลดลง และอาจดึงให้ราคาน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ อาทิ น้ำมันถั่วเหลืองปรับลดลงตาม เราคาดผลกระทบเบื้องต้นดังนี้ 1) หุ้นกลุ่มปาล์ม แม้แนวโน้มกำไรจะยังดี แต่อาจมีความกังวลและแรงขายทำกำไรหลังราคาน้ำมันปาล์ม ปรับลดลงจากจุดสุงสุดมาแล้วราว 15% 2) TVO มีผลบวกและลบ โดยลบจากราคาน้ำมันถั่วเหลืองที่ลดลง แต่น่าจะบวกจากกากถั่วเหลืองที่อาจฟื้น หลังภาวะเร่งสกัดน้ำมันน่าจะชะลอในระยะสั้น 3) TU ใช้น้ำมันถั่วเหลืองในปลาทูน่ากระป๋อง 4) CPT, GFPT, TFG อาจกระทบเล็กน้อยหากราคากากถั่วเหลืองปรับขึ้น แต่คาดผลกระทบอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล
ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ OSP, CBG, ICHI, SAPPE 2) กลุ่มท่องเที่ยว CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR 3) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO 4) กลุ่มมีลุ้นเข้า SET50 ได้แก่ JMT, JMART 5) กอง REIT ได้แก่ FTREIT, WHART 6) ขณะที่หุ้นกลาง-เล็กที่สามารถเลือกเก็งกำไร (แบบกำหนดจุดตัดขาดทุน) ในช่วงนี้ ได้แก่ THREL, BLA, MAJOR, TH, SCN, SCI, CMR, TKN, SPA เป็นต้น 7) หุ้นกลุ่มเก็งราคาน้ำมันลง SCGP, BJC, EPG, SCC 8) หุ้นเด่นกลุ่มพลังงาน OR
ภาพรวมกลยุทธ์: แม้หลุดแต่กลับมายืน 1,605 จุด ทำให้มีลุ้นขึ้นทดสอบ 1,630-1,640 จุด ยังคงกลยุทธ์เลือกเก็งกำไรระหว่างรอจุดซื้อที่ดี (ราคาอาหารขึ้น / ผลตอบแทนพันธบัตรปรับลง / หุ้นที่สามารถส่งผ่านต้นทุน)” โดยเน้นในหุ้นใหญ่พื้นฐานดีที่ valuation ไม่แพงหรือกระแสเงินสดสูงที่สามารถจำกัด downside risk ได้เป็นหลัก และใช้จังหวะปรับลดลงแรงในการทยอยซื้อหรือสะสมรายตัว เงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่า ระวังแรงทำกำไรกลุ่มได้ประโยชน์จากบาทอ่อนในระยะสั้น //หุ้นแนะนำ: SPRC*, BEM*, OR*, MAKRO*
แนวรับ: 1,595 / แนวต้าน : 1,630-1,640 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
ประเด็นการลงทุน
เยลเลน หนุนรัฐบาลเลิกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนบางกลุ่มเพื่อสกัดเงินเฟ้อ - นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนก่อนการประชุมรัฐมนตรีคลังของกลุ่ม G7 ว่า ตนสนับสนุนให้รัฐบาลสหรัฐยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนบางกลุ่ม โดยเป็นสินค้ากลุ่มที่ไม่ได้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์มากแต่กระทบต่อผู้บริโภคและธุรกิจในสหรัฐ
ผู้ว่า ธปท.มั่นใจไทยไม่เกิด Stagflation - ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มั่นใจเศรษฐกิจไทยจะไม่เข้าสู่ภาวะ Stagflation เพราะการที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะ Stagflation ต้องประกอบด้วย อัตราเงินเฟ้อสูง ควบคู่กับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ในปัจจุบันจะเห็นว่าแม้อัตราเงินเฟ้อของไทยจะปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่ากรอบเป้าหมาย แต่เศรษฐกิจปีนี้ไม่ได้ชะลอตัวแต่อย่างใด และเชื่อว่ามีโอกาสน้อยมากที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตต่ำกว่าปีก่อน
เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงกลั่นที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลกในเกาหลี (Onsan Refinery) - ซึ่งอาจทำให้โรงกลั่นต้องปิดซ่อมชั่วคราวทั้งโรง ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซื้อซื้อขายล่วงหน้า (Swap price) ในภูมิภาคเอเชียปรับสูงขึ้น
คาดเข้า/ออก SET50 – คาดเข้า JMT, JMART, BLA /คาดออก RATCH, STGT, KCE
ประเด็นติดตาม: 19 พ.ค. – US Existing Home Sales, US Initial Jobless Claims, US Fed Manufacturing Index, China PBoC Loan Prime Rate / 24 พ.ค. – US New Home Sales, US Services PMI / 25 พ.ค. - US Core Durable Goods Orders, FOMC Meeting Minutes
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)