บล.กสิกรไทย มองน้ำมันยังทรงตัวสูงหนุน "หุ้นพลังงาน" แนะติดตามประชุมผู้นำอียูคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่ม

บล.กสิกรไทย มองน้ำมันยังทรงตัวสูงหนุน "หุ้นพลังงาน" แนะติดตามประชุมผู้นำอียูคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่ม

บล.กสิกรไทย มองหุ้นไทยช่วงนี้ยังเคลื่อนไหวไซด์เวย์ หากนักลงทุนมีกำไร แนะนำเพียง Lock Profit ในช่วงที่ SET Index แกว่งในกรอบ 1,630-1,666 จุด รอติดตามการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรปเพื่อพิจารณาคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซีย คาดยังเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดิบโลกทรงตัวสูง

บล.กสิกรไทย มองตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ยังไม่ใช่ขาขึ้นในระยะยาว โดยมีการเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,666 จุด ซึ่งประเด็นที่มีผลต่อการลงทุนในช่วงนี้  ส่วนใหญ่ยังไม่มีปัจจัยอะไรใหม่ โดยล่าสุดหนึ่งในคณะกรรมการเฟด เจมส์ บูลลาร์ด พลิกกลับมาส่งสัญญาณว่าสหรัฐจะลดดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566 หรือ 2567 จากเดิมที่ส่งสัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ยมาตลอด  KS มองเป็นบวกต่อตลาดหุ้น  

ส่วนในวันที่ 30-31 พ.ค. ติดตามการประชุมสุดยอดของสหภาพยุโรป (EU) เพื่อพิจารณามาตรการคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซีย คาดยังเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดิบโลกทรงตัวในระดับสูง เป็นปัจจัยบวกต่อ PTT, PTTEP แต่จะกลายเป็น Sentiment ลบต่อหุ้น Anti Commodity อาทิ (PTG, EPG, SCGP, BGRIM, GULF, OR, AAV, BA)   

 

 

 

รวมทั้ง ต้องติดตามการรายงานตัวเลขดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ โดยฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว หลักๆ คือ สหรัฐ วันที่ 2 มิ.ย. ติดตาม Beige Book และวันศุกร์ที่ 3 มิ.ย. การรายงาน Nonfarm payrolls เดือน พ.ค. ตลาดคาด 3.5 แสนรายและอัตราการว่างงานสหรัฐตลาดคาด 3.5% ลดลงจาก 3.6% ในเดือน เม.ย.

KS คาดตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง แม้ตลาดบ้านสหรัฐจะเริ่มชะลอ แต่คาดจะยังหนุนให้ Fed เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ  ส่วนฝั่งเอเซีย วันที่ 1 มิ.ย. จีนจะมีการคลายล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้เป็น Sentiment บวกต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์

 

กลยุทธการลงทุน

KS ยังคงคำมุมมองเดิมคือ หากหุ้นที่นักลงทุนมีกำไร แนะนำเพียง  Lock Profit กำไรในช่วงที่ SET Index แกว่งในกรอบ 1,630-1,666 จุด ประเมินตลาดช่วงนี้มีโอกาส Sideway แนะนำ Selective เน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวก อาทิ

1.) กลุ่มเปิดเมือง อาทิ BEM, CENTEL,OR, PTG, D, AMATA  

2.) กลุ่ม Defensive อาทิ BH, BDMS, ADVANC, AP 

3.) กลุ่มโรงกลั่น แนะนำ SPRC, ESSO  

4.) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากจีนเปิดประเทศ CPF,CBG, EKH

5.) กลุ่มที่ได้ประโยชน์หากสหรัฐยกเลิกภาษี (tariff) KCE, JWD  

6.) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้ม Bond Yield ปรับลง คือ กลุ่มโรงไฟฟ้า GUNKUL กลุ่มการเงิน (MTC, SAWAD, CHAYO, AMANAH)   

ส่วนกลุ่มที่ยังแนะนำชะลอการลงทุนระยะกลาง-ยาว คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มยานยนต์ กลุ่มปิโตรเคมี จากกระแสความกังวลเศรษจกิจชะลอตัว

Top pick

- AMANAH ราคาเป้าหมายที่ 6.4 บาท

1.) คาดแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 จะเติบโต ผู้บริหารคาดว่ายอดสินเชื่อใหม่ไตรมาส 2/2565 จะเกินระดับในไตรมาส 1/2565 ที่ 450 ล้านบาท เนื่องจากยอดสินเชื่อใหม่จนถึงเดือน เม.ย. 2565 ดีกว่าเดือน ม.ค. 2565 ถึง 126 ล้านบาท ถึงแม้จะมีช่วงวันหยุดยาว โมเมนตัมคาดยังตีต่อเนื่องในเดือน พ.ค. 2565  

2.) บริษัทจะเริ่มปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ในเดือน ก.ค. 2565 ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากไม่ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ในสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งจะทำให้ AMANAH สามารถเสนอสัญญาเงินกู้ที่น่าดึงดูดใจยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า และกระบวนการอนุมัติสินเชื่อที่เร็วขึ้น  

3.) ราคาหุ้นปรับฐานจากจุดสูงสุดของปีนี้ราว 18% และ Upside เมื่อเทียบกับราคาทางพื้นฐานเปิดกว้างราว 28%

ประเด็นเศรษฐกิจที่น่าติดตาม

- 30 พ.ค. : ดัชนีความเชื่อมั่นในยุโรป เดือน พ.ค. ตลาดคาด 21.1 จุด ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า , อัตราเงินเฟ้อของเยอรมัน เดือน พ.ค.

- 31 พ.ค. : ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เดือน มิ.ย., ยอดค้าปลีกของญี่ปุ่น เดือน เม.ย. ตลาดคาด 0.4% MoM, PMI ภาคการผลิตของจีนเดือน พ.ค. ตลาดคาด 48.0 จุด เพิ่มขึ้นจาก 47.4 จุด ในเดือน เม.ย., รายงานอัตราเงินเฟ้อของยุโรป ตลาดคาด 7.5% YoY, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน พ.ค. ตลาดคาด 104 จุด ชะลอจาก 107.3 จุด

- 1 มิ.ย. : ติดตาม Capital Spending ของญี่ปุ่น ไตรมาสที่ 1, ติดตาม Caixin Manufacturing PMI เดือน พ.ค., ยอดค้าปลีกของเยอรมนี เดือน เม.ย. ตลาดคาด 0.3% MoM ,ติดตาม PMI ภาคการผลิตขอบยุโรป เดือน พ.ค. ตลาดคาดทรงตัว 54.4 จุด, ยอดการจ้างานภาคเอกชนของสหรัฐ เดือน พ.ค.

- 2 มิ.ย. : วันพฤหัสบดี ติดตาม Beige Book ของสหรํฐ , ติดตาม OPEC Meeting, ติดตาม Factory Order เดือนเม.ย.

- 3 มิ.ย. : ติดตาม Nonfarm payrolls ของสหรัฐ เดือน พ.ค. ตลาดคาด 3.5 แสนราย, อัตราการว่างงานสหรัฐตลาดคาด 3.5% ลดลงจาก 3.6% ในเดือน เม.ย.