หุ้นไทยที่พร้อมขึ้น “จีน” ปลดล็อกโควิด-กระตุ้นเศรษฐกิจ

หุ้นไทยที่พร้อมขึ้น  “จีน” ปลดล็อกโควิด-กระตุ้นเศรษฐกิจ

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและเปิดประเทศในแทบเอเชียถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่มีน้ำหนักลดทอนปัจจัยลบการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ในช่วงนี้ไป จนทำให้หุ้นที่อิงกับปัจจัยดังกล่าวกลับมารีบาวด์และมีสัญญาณบวกต่อเนื่อง

       ปัจจุบันนอกจากไทยที่ประกาศให้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. เปิดรับนักท่องเที่ยวมากขึ้นด้วยการไม่กักตัว ไม่ต้องตรวจ RT-PCR  และไม่ต้องหน้ากากอนามัย และให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นแล้ว ถือว่าเป็นบวกต่อภาคการท่องเที่ยวไทยอาจได้เห็นนักท่องเที่ยวปีนี้แตะ 10 ล้านคนได้

       โดยยังมีประเทศญี่ปุ่นที่พึ่งประกาศเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในรอบ  2 ปี ในวันที่ 10 มิ.ย. นี้ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยสามารถเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน และประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในเอเชีย “ จีน “ผ่อนคลายมาตรการเข้ม COVID ZERO เช่นกัน

จีนเริ่มมีการส่งสัญญาณต่อเนื่องเริ่มจากการประกาศปลดล็อกดาวน์ที่เซี่ยงไฮ้วันที่ 1 มิ.ย.2565  ซึ่งสามารถทำให้ลดความกังวลผลกระทบเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัญหาขาดแคลนชิป โดยเฉพาะที่เซินเจิ้น (Shenzhen) เมืองที่เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี และการผลิตทางตอนใต้ของจีน มีFoxconn บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หนึ่งในซัพพลายเออร์หลักของ Apple ชะงักสายการผลิตในช่วงล็อกดาวน์

 ปัจจัยดังกล่าวทำให้ยูบีเอส (UBS) และเจ.พี. มอร์แกน วาณิชธนกิจชั้นนำตัดสินใจปรับลดประมาณการการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวม ภายในประเทศ (GDP) สำหรับปี  2565 ของจีนเป็น ครั้งที่3 ในปีนี้โดยเหลือไม่ถึง 4% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขเป้าหมายที่ทางการจีน ตั้งไว้ที่ 5.5% เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้มาตรการควบคุมโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง

เช่นเดียวกัน สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) ปรับลดคาดการณ์ จีดีพี ทั่วโลกสำหรับปีนี้ลงครึ่งหนึ่งเหลือ 2.3% จาก 4.6% เนื่องจากเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากเหตุรัสเซียบุกโจมตียูเครน การรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของจีน และการคุมเข้มนโยบายการเงินในสหรัฐ

หากแต่จีนเริ่มออกมายืนยันการผลักดันเติบโตเศรษฐกิจ ด้วยทยอยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาเพิ่มเติม เริ่มจากการปรับลดอัตรานำเข้าภาษีถ่านหินเหลือ 0% จาก 3-6% มีผล 1 พ.ค. 2565 – 31 มี.ค.2566   การประกาศกระตุ้นการลงทุนในประเทศด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 5 ปี ลง 0.15% สู่ระดับ 4.45% จากระดับ 4.6%

       ตามมาด้วย เทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ออกมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์จนถึงสิ้นปี 2565   โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการอุปโภคบริโภค, ลดภาระของภาคเอกชน และฟื้นฟูเศรษฐกิจในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการล็อกดาวน์

        มาตรการดังกล่าว อาทิ  การลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียม เพิ่มโควตาการซื้อรถยนต์, ลดหย่อนภาษีการซื้อรถยนต์ และอุดหนุนผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า, สนับสนุนการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมรถไฟ, ท่าเรือ, สนามบิน และพลังงาน และสนับสนุนบริษัทต่างชาติให้เขามาตั้งสำนักงานใหญ่และศูนย์วิจัยในเซี่ยงไฮ้ เป็นต้น

       ปัจจัยดังกล่าวหนุนหุ้นในหลายกลุ่มธุรกิจได้รับผลบวกในช่วงนี้ เริ่มจากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)หยวนต้า  (ประเทศไทย)บริษัทได้ประโยชน์โดยตรงจากมาตรการลดภาษีซื้อรถยนต์ของจีนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น   NER 

      คาดว่าจะส่งผลบวกต่อลูกค้าของบริษัทในจีนส่งผลให้ความต้องการ ใช้ล้อรถยนต์เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นแกว่งตัว Sideway Down จากความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากการ ล็อกดาวน์เพื่อคุมโควิด  ซึ่งสถานการณ์จะดีขึ้นใน 1-2 เดือนข้างหน้า และเป็นอีกปัจจัยบวกให้หุ้นฟื้นตัว ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER2565 เพียง 6 เท่า และให้ Dividend Yield 7% ต่อปี

        บล.โนมูระ พัฒนสิน ประเมินหุ้นกลุ่ม China Play ที่คาดได้รับประโยชน์จากการกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจของจีน เริ่มที่ กลุ่มพลังงาน  มีหุ้น TOP, BCP   กลุ่มปิโตรเคมี  IVL, PTTGC  กลุ่มเดินเรือ TTA, PSL  กลุ่มส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และอาหาร  KCE, CPF, HANA

       ขณะที่ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ (ประเทศไทย) การคลายมาตรการโควิดของหลายประเทศรวมทั้งไทยส่งผลดีต่อการเดินทางและการท่องเที่ยว กลุ่มแรกหุ้นสนามบิน สายการบินเด่น เช่น AOT,AAV,BA,BAFS   ตามมาด้วยหุ้นเปิดเมือง AOT, MINT, ERW, CENTEL, BH, BDMS, CPN, CRC   และหุ้นในกลุ่มขนส่ง BEM,BTS

       ทั้งนี้จากมาตรการที่จีนประกาศเบื้องต้นเริ่มจะมีการมองแล้วว่าจะมีการประกาศเพิ่มเติมออกมาอีก หลังผู้นำของจีนประธานาธิบดี  “สี เจิ้น ผิง” รัฐบาลจีนรู้สึกว่าการควบคุมโควิด-19 ไม่คุ้มเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจต้องสูญเสียเสถียรภาพอีกต่อไปและรัฐบาลจะ "ให้ความสำคัญกับกระตุ้นเศรษฐกิจ" ให้กลับมามีเสถียรภาพและเติบโตมากยิ่งขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย GDP ปีนี้ที่ 5.5%

 

 

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์