Commerce Sector กำลังซื้อกลับมาแล้ว (14 มิ.ย. 65)

Commerce Sector กำลังซื้อกลับมาแล้ว (14 มิ.ย. 65)

เราพบว่ามีสัญญาณบวกในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ และการบริโภคในประเทศให้เร่งตัวขึ้น ได้แก่ i) อัตราการขยายตัวของ GDP ประเทศไทย และอัตราการขยายตัวของการบริโภค ที่ฟื้นตัวขึ้น 2.2% และ 3.9% ใน 1Q65 ตามลำดับ

ในขณะที่อัตราการว่างงานของประเทศไทยลดลงเหลือ 1.5% ใน 1Q65 สอดคล้องกับการผ่อนคลายมาตรการ lockdown เพื่อคุมโรคระบาด ii) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 8 ล้านคนในปี 2565 และ 25 ล้านคนในปี 2566 (Figure 7) หลังคลายมาตรการข้อจำกัดในการเดินทาง iii) การนำเข้า-ส่งออกของประเทศไทยขยายตัว 18% YoY และ 14%YoY ใน 4M65 ตามลำดับ iv) รายได้ภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 14% YoY ในเดือนเมษายน2565 โดยเป็นการเติบโต YoY ติดต่อกันเป็นเดือนที่สี่ (Figure 12) ซึ่งมาจากทั้งทางด้านของราคาและผลผลิต v) การกลับมาเปิดประเทศทำให้กิจกรรมทางธุรกิจ และการใช้ชีวิตกลับคืนมา ดังจะเห็นได้จากจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น (Figure 17-18) และจำนวนผู้เข้าชมภาพยนตร์ในโรงหนังที่เพิ่มขึ้น (Figure 20)

Commerce Sector กำลังซื้อกลับมาแล้ว (14 มิ.ย. 65)

Commerce Sector กำลังซื้อกลับมาแล้ว (14 มิ.ย. 65)

Commerce Sector กำลังซื้อกลับมาแล้ว (14 มิ.ย. 65)

Commerce Sector กำลังซื้อกลับมาแล้ว (14 มิ.ย. 65)

Commerce Sector กำลังซื้อกลับมาแล้ว (14 มิ.ย. 65)

กำลังซื้อโดยรวมจะกลับมา โดยเฉพาะในภาคบริการ

จากการศึกษาของเรา พบว่ารายได้ทั้งหมดที่สูญเสียไปจากการระบาดของ COVID-19 ในปี 2563 อยู่ที่ 5.54 แสนล้านบาท (แรงงานในภาคบริการถูกกระทบหนักที่สุด คิดเป็นมูลค่า 5.10 แสนล้านบาท: Figure 26) ถึงแม้ว่ารายได้จะฟื้นกลับมา 8.9 หมื่นล้านบาทในปี 2564 แต่เราคาดว่ากำลังซื้อโดยรวมจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีก 2.04 แสนล้านบาทในปี 2565 และ 2.21 แสนล้านบาทในปี 2566 (Figure 28 – 29) ซึ่งเมื่อพิจารณาเป็นรายภาคเศรษฐกิจ เราเชื่อว่ากำลังซื้อของแรงงานในภาคบริการจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งที่สุดถึง 7.85 หมื่นล้านบาทในปี 2565 (ประมาณ 39% ของกำลังซื้อที่กลับมาทั้งหมด) และ 2.21 แสนล้านบาทในปี 2566 (100% ของกำลังซื้อที่กลับมาทั้งหมด) ซึ่งเมื่ออิงตามประมาณการของเรา รายได้รวมต่อปีที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะหนุนให้การใช้จ่ายบริโภคเพิ่มขึ้น 2.4% ในปี 2565 และ 2.6% ในปี 2566(Figure 30 – 31) ซึ่งจำนวนดังกล่าวคิดเป็น 7.3% และ 7.9% ของตลาดค้าส่ง และค้าปลีกของไทยในช่วงเดียวกันตามลำดับ (Figure 32 – 33)

Commerce Sector กำลังซื้อกลับมาแล้ว (14 มิ.ย. 65)      Commerce Sector กำลังซื้อกลับมาแล้ว (14 มิ.ย. 65)

Commerce Sector กำลังซื้อกลับมาแล้ว (14 มิ.ย. 65)     Commerce Sector กำลังซื้อกลับมาแล้ว (14 มิ.ย. 65)

Commerce Sector กำลังซื้อกลับมาแล้ว (14 มิ.ย. 65)      Commerce Sector กำลังซื้อกลับมาแล้ว (14 มิ.ย. 65)

 

 

คาดว่า CPALL จะได้อานิสงส์จากปัจจัยสนับสนุนในภาพรวม

ในบรรดาหุ้นกลุ่ม commerce เราคาดว่า CPALL จะได้อานิสงส์มากที่สุดจากปัจจัยบวกในภาพรวม ซึ่งได้แก่ i) การกลับมาใช้ชีวิตแบบที่มีการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ (ประชุมแบบ onsite / เข้าเรียนในสถานศึกษา และการอนุญาตให้จัดกิจกรรมตอนกลางคืน) ii) จำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้น และ iii) กำลังซื้อที่ฟื้นตัวขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจาก EPS ของ CPALL ถูกกระทบอย่างหนักโดยลดลงถึง 62% จากปี 2562 ถึง 2564 ดังนั้น เราจึงคาดว่า EPS ของ CPALL จะเติบโตอย่างโดดเด่นถึง 86% ในปี 2565F และ 28% ในปี 2566F

 

Valuation & action

เรายังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่ม commerce ที่ Overweight โดยเลือก CPALL เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มนี้และประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ที่ 75.00 บาท อิงจาก PER ที่ 35.0X (ค่าเฉลี่ยในอดีตระหว่าง MAKRO และ CPALL +1.0 S.D.) จาก EPS ปี 2566 ซึ่ง discount กลับมาโดยใช้ WACC ที่ 8%

 

Risks

เศรษฐกิจชะลอตัวลง, เกิด disruption จากเทคโนโลยีใหม่, ความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของทางการ,พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป, ขยายสาขาได้น้อยกว่าที่คาดไว้, การหาทำเลที่ตั้งสาขาใหม่