กรุงไทยคอมพาสชี้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนโตรับ BCG economyสร้างโอกาสชุมชน
ศูนย์วิจัยกรุงไทยคอมพาสชี้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ ขนาดเล็กมีแนวโน้มเติบโตจากการสนับสนุนภาครัฐและกระแส BCG economy สร้างโอกาสการลงทุนแก่วิสาหกิจชุมชน รวมถึง ผู้ประกอบการกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้า หรือกลุ่มที่มีวัสดุเหลือใช้
นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ มีทิศทางขยายตัวดีขึ้น เนื่องจาก ภายหลังการประชุม COP 26 ทำให้ทั่วโลกตื่นตัวแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
นอกจากนี้ วิกฤตพลังงานในปัจจุบันที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ ทำให้หลายประเทศรวมถึงไทยมีความกังวลด้านความมั่นคง และราคาพลังงาน โดยเร่งทบทวนแผนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อทดแทนไฟฟ้าที่ผลิตจากฟอสซิล อาทิ ก๊าซธรรมชาติ
ทั้งนี้ ในปี 2564 ทั่วโลกมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะที่ 1.4 แสนเมกะวัตต์ โดยในจำนวนนี้มาจากเอเชียมากที่สุดราว 39% ของกำลังการผลิตของโลก และในช่วงปี 2564-2568 กำลังการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโต 5.7%ต่อปี
เขากล่าวว่า วิกฤตพลังงานโลกที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ จะกดดันให้ราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการผลิตไฟฟ้าโดยรวมในไทยยืนอยู่ในระดับสูงนาน ดังนั้น การหันไปผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาต้นทุนรวมของการผลิตไฟฟ้าในไทยได้ ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในไทยมีต้นทุนสูงถึง 3.3 บาท/หน่วย ขณะที่ ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ อยู่ที่เพียง 0.7-2.3 บาท/หน่วย เท่านั้น”
“ค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้น เพราะโจทย์หลักของค่าครองชีพคือค่าไฟ ซึ่งแน่นอนว่า ระยะสั้นกว่า 50%ของไฟฟ้าในประเทศมาจากเรื่องการใช้ก๊าซธรรมชาติมาผลิตไฟ อีกส่วนหนึ่งหรือประมาณ 10%มาจากถ่านหิน ซึ่งเชื้อเพลิงดังกล่าวมีการนำเข้าและราคาเชื้อเพลิงขึ้นอยู่กับตลาดโลก ซึ่งตอนนี้แพงมาก ดังนั้น สถานการณ์ค่าครองชีพที่สูงขึ้นจะยังอยู่กับเราไปซักพักหนึ่ง”
“เรียนตามตรงว่า เราจะไปสวนกระแสทำไม่ได้ เพราะทั่วโลกก็เผชิญเช่นเดียวกัน จึงมองว่า สถานการณ์แบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เราเคยเจอราคาน้ำมันเกิน 100 เหรียญต่อบาร์เรลมาแล้ว เราเคยเจอก๊าซธรรมชาติที่แพงมาแล้ว เหล่านี้เป็นไซเคิลที่เคยเกิดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ฉะนั้น ในอนาคตก็จะกลับมาอีก”
นางสาวนิรัติศัย ทุมวงษา นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย ธุรกิจประเภทนี้มีแนวโน้มเติบโตดีจากการสนับสนุนของภาครัฐมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งสะท้อนจากแผน PDP 2561 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ ขยายตัวที่ 6% ในช่วงปี 2564-2580
โดยในปี 2580 ซึ่งเป็นปีที่สิ้นสุดแผน PDP 2561 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ภาครัฐตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ 7,077 เมกะวัตต์ เนื่องจากไทยมีศักยภาพด้านวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรซึ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบหลักของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ
อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้ามองว่า ภาครัฐจะให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก หรือ VSPP มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งริเริ่มโครงการเฟสแรกเมื่อปี 2562 เพื่อให้ตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างเต็มที่และสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ทั่วทุกพื้นที่ในไทยในระยะข้างหน้า เนื่องจาก ปัจจุบันประเทศไทยยังมีครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้อยู่ถึง 57,440 ครัวเรือน อีกทั้งโครงการดังกล่าวช่วยสร้างรายได้แก่ชุมชนด้วย เนื่องจากจะต้องใช้วัตถุดิบหรือวัสดุเหลือใช้จากในชุมชนเป็นหลักในการผลิตไฟฟ้า”
นายพงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวเสริมว่า จำนวนโรงไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะขนาด VSPP ในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2564-2569) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกราว 430 แห่ง ในจำนวนนี้แบ่งเป็น ชีวมวลจำนวน 54 แห่ง ชีวภาพ 236 แห่ง และขยะ 140 แห่ง ตามลำดับ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาศักยภาพและปริมาณวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและขยะที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าหมุนเวียนแต่ละประเภทร่วมด้วย พบว่า โรงไฟฟ้าชีวมวลโดยรวมมีทรัพยากรวัตถุดิบที่มากเพียงพอสำหรับผลิตไฟฟ้าตามเป้าหมายของแผน PDP 2561 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ขณะที่ โรงไฟฟ้าชีวภาพและโรงไฟฟ้าขยะ ปัจจุบันมีเชื้อเพลิงที่มีศักยภาพไม่เพียงพอถึงปี 2580 ดังนั้น ผู้ที่สนใจจะสร้างโรงไฟฟ้าดังกล่าวจึงควรเตรียมความพร้อมด้านเชื้อเพลิงจากทั้งสองกลุ่มนี้
“การลงทุนตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับมลภาวะทางอากาศจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะชุมชนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้า เนื่องจากโรงไฟฟ้าในกลุ่มนี้มีการปล่อยฝุ่นละออง ขี้เถ้า เขม่า และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าในไทยได้แก้ปัญหาดังกล่าวโดยการนำเอาเทคโนโลยีการดักจับฝุ่นละอองมาใช้ เพื่อควบคุมปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 และเขม่า ให้เป็นตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว”
ส่วนในระยะข้างหน้าคาดว่า กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมของทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยจะให้ความสำคัญกับการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีปัจจุบันที่ใช้ในโรงไฟฟ้าในไทยไม่สามารถดักจับได้ ดังนั้น อาจจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ อย่าง carbon capture ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าลงทุนสูงมาก จึงต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ