การวิจัยล่าสุดพบ ความยืดหยุ่น และการฟื้นฟูเป็นปัจจัยผลักดันธุรกิจครอบครัวในปัจจุบัน
รายงานประจำปีของ KPMG Private Enterprise และ STEP Project Global Consortium พบว่าความผูกพันและการสร้างโอกาสสำหรับผู้นำรุ่นถัดไปในการรับมือกับความเสี่ยงและการสะสมประสบการณ์นอกธุรกิจครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของธุรกิจครอบครัวในอนาคต
รายงานเกี่ยวกับธุรกิจครอบครัวทั่วโลกของ KPMG Private Enterprise และ STEP Project Global Consortium เผยว่าผลประกอบการที่ยั่งยืนของธุรกิจครอบครัวเกิดจากลักษณะเฉพาะบางประการและความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างของผู้นำรุ่นต่อมาที่เหมาะกับโมเดลธุรกิจของบริษัทนั้นๆ
รายงาน “The regenerative power of family business – Transgenerational entrepreneurship” ได้สำรวจข้อมูลเชิงลึกจาก CEO และผู้บริหาร 2,439 รายจากธุรกิจครอบครัวใน 70 ประเทศและเขตการปกครองทั่วโลก ซึ่งรายงานนี้พบว่าปัจจัยร่วมที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวมีความยืดหยุ่นและมีความสามารถในการฟื้นฟู มีสามอย่างด้วยกันคือ การมีคุณลักษณะของการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurial orientation) การมีความผูกพันกับองค์กร (Emotional attachment) และการที่ผู้นำรุ่นต่อไปมีการแสวงหาประสบการณ์ภายนอกธุรกิจครอบครัวของตน
ประเด็นสำคัญที่ได้จากการสำรวจ: ผู้นำรุ่นถัดไปต่างตักตวงประสบการณ์ทำงานจากนอกธุรกิจครอบครัวก่อน และบ่อยครั้งมักได้เงินทุนจำนวนเล็กน้อยจากครอบครัวเพื่อฝึกการลงทุนและการบริหารความเสี่ยง ซึ่งพบว่าสำหรับธุรกิจครอบครัวที่ได้ถูกสำรวจในการวิจัยครั้งนี้ การปฏิบัติในลักษณะนี้ส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อผลประกอบการบริษัทในระยะยาว
สมาชิกในครอบครัวที่มีโอกาสเป็นผู้นำรุ่นต่อไปต่างได้รับการศึกษาในแง่การคำนวณและบริหารความเสี่ยง ซึ่งสอดคล้องกับหนึ่งในสามปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจครอบครัวในปัจจุบัน ซึ่งก็คือ Entrepreneurial orientation รายงานฉบับนี้จาก KPMG Private Enterprise และ STEP Project Global Consortium พบว่าสามปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวมีความสามารถในการฟื้นฟูได้เสมอ คือ
1. การมีคุณลักษณะของการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurial orientation)
เป็นลักษณะที่เฉพาะและขาดไม่ได้ในการที่ธุรกิจครอบครัวจะสร้างนวัตกรรมและมีการเติบโตจากรุ่นสู่รุ่น ความต้องการที่จะสานต่อจิตวิญญาณของผู้ก่อตั้งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้สมาชิกในครอบครัวสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เสมอ สมาชิกในครอบครัวที่มีโอกาสเป็นผู้นำในอนาคตจะถูกสอนให้บริหารจัดการความเสี่ยงอย่างหมาะสมและตัดสินใจได้ด้วยตนเอง โดยอาจได้รับเงินทุนก้อนเล็กๆ เพื่อใช้ในการฝึกลงทุนละเรียนรู้วิธีการเป็นเจ้าของธุรกิจจากประสบการณ์ตรง
2. ความมั่งคั่งทางสังคม (Socioemotional wealth)
การที่ครอบครัวสามารถควบคุมและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจที่รวดเร็วขององค์กร รวมกับความมั่งคั่งทางสังคมถูกมองว่าเป็นลักษณะที่จำเป็น และที่ครอบครัวจะต้องรักษาและปกป้องไว้ ผู้ที่ถูกสำรวจในครั้งนี้มองว่าสิ่งเหล่านี้สามารถใช้ชี้วัดความสำเร็จที่นอกเหนือจากผลประกอบการทางด้านการเงินของธุรกิจครอบครัวได้ ซึ่งลักษณะเฉพาะนี้มักหายากในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว
3. ผู้นำที่สร้างแรงจูงใจ (Motivational leadership)
ความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurialism) และ ความมั่งคั่งทางสังคม (Socioemotional wealth) นั้นต่างเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างในการแข่งขันทางธุรกิจ ซึ่งสองสิ่งนี้จะทำให้ธุรกิจครอบครัวมีความเข้มแข็งมากขึ้นเมื่อประกอบกับผู้นำที่มีวิสัยทัศน์แห่งการเปลี่ยนแปลง หรือมีเสน่ห์น่าติดตาม
แอนเดรีย คาลาโบร ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการทั่วโลก STEP Project Global Consortium กล่าวว่า “ความสำเร็จของธุรกิจครอบครัวถูกตัดสินทั้งจากเป้าหมายด้านการเงิน และที่ไม่ใช่ด้านการเงิน เช่น ความสามารถในการควบคุมการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากรุ่นสู่รุ่น ทุนทางสังคม (Social capital) ความรู้สึกผูกพันกับองค์กร และชื่อเสียงองค์กร เป็นต้น การรักษาและเพิ่มพูนความมั่งคั่งทางสังคมอาจมีการสั่นคลอนในช่วงเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงสำคัญที่ครอบครัวจะต้องรักษาอำนาจการควบคุมและอิทธพล อัตลักษณ์ และความผูกพันกับองค์กร ที่มีอยู่ไว้เพื่อการเปลี่ยนถ่ายผู้นำที่ราบรื่น”
ผลประกอบการ จากธุรกิจครอบครัวที่มีผลประกอบการสูงลงไปจนที่มีผลประกอบการต่ำ
ผลการสำรวจยังพบอีกว่าลักษณะของผู้นำธุรกิจครอบครัวส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ จากผลสำรวจ KPMG Private Enterprise และ STEP Project Global Consortium ได้แบ่งลักษณะของธุรกิจครอบครัวออกเป็น 4 ประเภท ตั้งแต่ธุรกิจที่มีผลประกอบการที่ดี (Top performers) ไปจนถึงธุรกิจที่ผลประกอบการไม่ดี (Underperformers) โดยได้ระบุปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวมีความสามารถในการฟื้นฟู และปัจจัยที่ส่งผลต่อผลประกอบการทางการเงิน ครอบครัว และสังคม จากรุ่นสู่รุ่น
ประเด็นสำคัญของธุรกิจแต่ละประเภท
- ธุรกิจที่มีความหลากหลายของบุคคลในองค์กรและมีคุณลักษณะของการเป็นผู้ประกอบการมักมีผลประกอบการที่ดี
ธุรกิจครอบครัวที่มีคุณลักษณะของการเป็นผู้ประกอบการสูง มีความหลากหลายในองค์กร และมีผู้นำที่มีเสน่ห์ มักมีผลประกอบการทั้งทางการเงิน และที่ไม่ใช่การเงิน (ทุนทางสังคม ความผูกพันองค์กร ฯลฯ) สูงกว่าองค์กรอื่น นอกจากนี้ ความยึดมั่นในนวัตกรรม และความผูกพันกับองค์กรก็เป็นลักษณะที่มักพบในองค์กรที่มีผลประกอบการที่ดีเช่นกัน
- ผู้นำที่สร้างแรงจูงใจ (Motivational leadership) ได้รับความนิยมมากที่สุด
ลักษณะของ CEO ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในทุกภูมิภาคคือผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ด้านการเปลี่ยนแปลง (Transformational leadership style) กล่าวคือผู้นำที่ผลักดันการเปลี่ยนแปลงในคุณค่า ความเชื่อและลักษณะนิสัยเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับเหล่าพนักงานได้ทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ลักษณะของผู้นำที่ได้รับความนิยมรองลงมาคือผู้นำที่มีเสน่ห์ (Charismatic leadership style)
- Motivational leadership ช่วยผลักดันความก้าวหน้า
ผลสำรวจพบว่าผู้นำที่สร้างแรงจูงใจมักนำไปสู่ความก้าวหน้าทางการเงิน สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงช่วยสร้างและบ่มเพาะความซื่อสัตย์ และผูกพันกับธุรกิจครอบครัว
ทอม แม็คกินเน็ส หัวหน้าฝ่ายธุรกิจครอบครัวทั่วโลก เคพีเอ็มจีไพรเวท เอ็นเตอร์ไพรซ์ เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “จากผลสำรวจพบว่า เมื่อธุรกิจมีคุณลักษณะของผู้ประกอบการ และความผูกพันกับองค์กรสูง ผลประกอบการองค์กรในแต่ละด้านก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ถึงแม้ว่าปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จขององค์กรจะแตกต่างกันไปตามแต่ละองค์กร แต่ก็ยังคงมีลักษณะที่เชื่อมโยงกัน และสามารถเป็นบทเรียนให้กับธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจครอบครัวอีกด้วย จุดเริ่มต้นที่ดีคือการมองกลยุทธ์องค์กรอย่างครอบคลุม โดยให้ความสำคัญเท่าเทียมกันระหว่างธุรกิจ พนักงานและผลกระทบทางสังคม ธุรกิจทุกประเภทควรที่จะถอยหลังออกมามองผลประกอบการขององค์กรด้วยมุมมองใหม่ๆ ที่ได้กล่าวมา”
ศศิธร พงศ์อดิศักดิ์ กรรมการบริหาร และหัวหน้าฝ่ายไพรเวท เอ็นเตอร์ไพรซ์ เคพีเอ็มจี ประเทศไทย กล่าว “ธุรกิจครอบครัวถือว่าเป็นรากฐานของเศรษฐกิจไทย เนื่องจาก 80% ของธุรกิจในประเทศไทย และ 20 จาก SET50 ในไทยเป็นธุรกิจครอบครัว การที่ธุรกิจครอบครัวจะประสบความสำเร็จจากรุ่นสู่รุ่นนั้น ธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการถ่ายมอบอำนาจ และการสร้างคุณลักษณะของผู้ประกอบการในผู้นำรุ่นถัดๆ มา ต้องเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างระหว่างสมาชิกในครอบครัวแต่ละรุ่น รวมถึงการเข้าใจและไม่ก้าวก่ายขอบเขตอำนาจของกันและกัน นอกจากนี้ยังต้องตามกลยุทธ์องค์กร และมีโครงสร้างองค์กรที่ชัดเจน”