สุดอั้น"เดลต้า"ขยับราคา6-12%หวังฟื้นมาร์จิ้นดันเป้าโต
เดลต้า งัดกลยุทธ์เชิงรุกสู้เงินเฟ้อ น้ำมันแพง เปิดตัวผลิตภัณฑ์พรีเมียมกลุ่มเคมีก่อสร้างครบวงจร เจาะตลาดผู้รับเหมา -ช่างทาสี ผุดโรงงานแห่งที่ 2 ขยายฐานกำลังผลิต50% พร้อมขยับราคา6-12% หวังฟื้นมาร์จิ้นดันเป้าโต 25-30%
นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) เผยถึง ทิศทางธุรกิจปี 2565 ว่า บริษัทจะรุกตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ด้วยสินค้าที่พัฒนาโดยใช้นวัตนกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นเซกเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดของตลาดสีทาอาคาร ล่าสุด ได้เปิดตัว 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ที่จับกลุ่มเซกเมนต์พรีเมียม เจาะกลุ่มตลาดผู้รับเหมา และช่างสี เพื่อรองรับการใช้งานที่สะดวกและประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น
ได้แก่ DELTA GRYPTO 5 IN 1 เป็นสีน้ำมันเคลือบผสมรองพื้นกันสนิม สำหรับทาพื้นผิวเหล็ก และ DELTA PRECAST SOLUTIONS ซึ่งเป็นกลุ่มเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้าง อาทิ เป็นผลิตภัณฑ์ทาทับกันซึม ทนต่อแสงแดด รังสียูวี, ยาแนวรอยต่อปิดรอยแตกร้าวของผนัง , ปูนสำเร็จรูปชนิดไม่หดตัว ทนต่อแรงสั่นสะเทือน , ปูนฉาบชนิดเนื้อบางปิดรอยแตกร้าวของผนัง , ปูนซีเมนต์ชนิดใช้ทากันซึม , ปูนชนิดปรับระดับด้วยตนเอง ช่วยปรับระดับพื้นให้เรียบเนียน และ ปูนฉาบผนังชนิดแห้งไว ยึดเกาะได้ดี ปลอดภัยไร้สารอันตราย
ทั้งนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นในการเติบโตด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรม รวมถึงการแสวงหาพันธมิตรใหม่เพื่อสร้างแบรนด์ต่อยอดธุรกิจ และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังได้เปิดดำเนินการโรงงานแห่งที่ 2 ในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง โดยมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น50% เป็นกำลังการผลิตรวม 4.8 ล้านแกลลอนต่อปี
โดยโรงงานใหม่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Slurry แทนระบบ Co-Grind เพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยลดขั้นตอนและลดการสูญเสียจากสารเคมีที่เป็นวัตถุดิบในการผลิต ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการผลิตได้มากขึ้น
นายอรรถพล ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบัญชีและการเงิน บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัท มีรายได้รวม 218 ล้านบาท เติบโต 28 ล้านบาท หรือ 14.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จาก กำไรสุทธิในไตรมาส 4/2564 ที่ 10.5 ล้านบาท แต่ลดลงจากกำไรสุทธิ 21 ล้านบาทในช่วงเดียวกันในปีก่อน
ทั้งนี้มีปัจจัยหลักมาจาก "ราคา" น้ำมันและราคาปิโตรเคมีปรับตัวขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตสีทั่วโลกในไตรมาสนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้รวมทั้ง"ค่าเงิน"บาทที่อ่อนค่าทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้นส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรข้างต้นของบริษัท
และสภาวะอัตรา"เงินเฟ้อ"ที่สูงขึ้นส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจและกำลังซื้อฟื้นตัวช้าอีกทั้ง มาตรการ Zero Covid ในจีนส่งผลให้เกิดความขาดแคลนของวัตถุดิบ และความล่าช้าในขนส่ง
ส่งผลให้บริษัทปรับราคาสินค้าขึ้น 6%-12% ซึ่งมีผลในไตรมาส 2 เพื่อรักษาอัตรากำไรและสะท้อนต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต รวมถึงลดต้นทุนวัตถุดิบ และลดค่าใช้จ่ายในการบริหารและการขายอีกด้วย
คาดว่าบริษัทฯ จะลดต้นทุนการผลิตลงได้ประมาณ 3% -5% ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป จึงมั่นใจว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นสู่สภาวะปกติ คาดว่าปีนี้ จะสามารถสร้างรายได้ให้เติบโตประมาณ 25-30% ตามเป้าหมาย
นอกจากนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าส่งออกสีทาอาคารใน CLMV ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นนวัตกรรม "VAKUUM Technology" จากประเทศเยอรมนี และรุกตลาด Blue Ocean มากยิ่งขึ้น พร้อมสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรม ขยายกลุ่มเซ็กเมนท์พรีเมียม เพื่อสนับสนุนอัตรากำไรให้อยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของ DPAINT มีสัดส่วนสีคุณภาพพิเศษ 40% สีคุณภาพสูง 30% และสีคุณภาพคุ้มค่า 30% ของรายได้รวมจากการขายและบริการ โดยจำหน่ายผ่านช่องทางการจำหน่ายรวมกันมากกว่า 1,500 สาขา เกือบทั่วประเทศ ได้แก่ ร้านโมเดิร์นเทรด ร้านค้าปลีก และงานโครงการ รวมทั้ง การบริการเครื่องผสมสีที่นำไปติดตั้งให้ลูกค้าที่เป็นร้านค้าใช้งาน ซึ่งในปัจจุบัน บริษัทมีเครื่องผสมสีทั้งหมด 505 เครื่อง โดยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 600 เครื่อง ภายในสิ้นปี 2565 นี้ เพื่อเป็นการขยายช่องทางในการจัดจำหน่ายที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น และจัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น