“เมืองไทยประกันชีวิต” เดินหน้า “Health 5.0” ย้ำจุดยืนประกันยุคใหม่ เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
ความเปลี่ยนแปลงของโลกใหม่ทำให้ทุกธุรกิจต้องปรับตัว โดยเฉพาะ “ประกัน” เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต้องปรับให้ทันเพื่อรับมือกับการ disruption หมดเวลาแล้วกับการออกแบบประกันแบบ “เหมารวม” ซึ่งออกแบบครั้งเดียวแต่หวังจะครอบคลุมทุกคน ทุกวัย ทุกกลุ่ม ซึ่งนับจากนี้ ไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป
เมื่อประกันแบบ “เหมารวม” แบบเดิมๆ ไม่ตอบโจทย์กับยุคนี้ นั่นจึงเป็นที่มาของการพลิกโฉมครั้งสำคัญของ “เมืองไทยประกันชีวิต” บริษัทประกันที่อยู่เคียงข้างคนไทย ยืนหยัดผ่านวิกฤติและการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยมาได้ถึง 7 ทศวรรษ และในครั้งนี้ก็เช่นกัน ภายใต้การบริหารงานของ “สาระ ล่ำซำ” ได้เวลาประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ เพื่อขจัด Pain Point ของชาวไทยบนความเข้าใจถึงความแตกต่าง ด้วยการเป็นประกันที่ “ลูกค้าเข้าถึง” ได้ ทั้งด้านความเฉพาะตัว (Personalization) ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย (Generation)
- ธุรกิจ “ประกัน” ที่ก้าวข้ามกรอบเดิมๆ
ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่มีปัจจัยจากเทคโนโลยี ดิจิทัล ขณะที่พฤติกรรมของผู้คนหันมาให้ความสำคัญเรื่องของการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น มองหาความคุ้มครองสุขภาพที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ กำลังคือความท้าทายใหม่ๆ ที่ธุรกิจประกันวันนี้ต้องเผชิญ
สำหรับการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวของ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ภายใต้การขับเคลื่อนของ สาระ ล่ำซำ ได้กล่าวยอมรับว่า ในช่วงวิกฤติโควิด 19 ที่ผ่านมา ตลาดประกันโดยรวม แม้จะสะดุดไปบ้าง แต่ก็ยังมีการเติบโตต่อเนื่องในระดับ Double Digit เนื่องจากอานิสงส์การเติบโตของธุรกิจ “ประกันชีวิต” ที่ยังคงมีส่วนแบ่งในตลาด 80-90% พร้อมกันนี้ความนิยมของประกันเหมาจ่ายเองก็ยังร้อนแรง โดยเฉพาะประกันสุขภาพ แต่รูปแบบของความคุ้มครองอาจยาวนานขึ้นตามเทรนด์สังคมสูงวัย
อย่างไรก็ตาม สำหรับเมืองไทยประกันชีวิต ก็ไม่ได้หยุดนิ่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้า โดยในช่วง 3-4 ปีหลัง ได้ปักหมุดชัดที่จะให้ความสำคัญในเรื่อง “การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า” มาใช้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าแบบ insight ให้โดนใจที่สุด
ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สาระ เปิดเผยว่า เป็นความมุ่งมั่นตั้งใจของเมืองไทยประกันชีวิต ที่พยายามพัฒนาความคุ้มครองสุขภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าแบบ Outside In ซึ่งเป็นหัวใจที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญมาโดยตลอด
“เรามองว่า ไม่ว่าจะเป็นเจเนเรชันไหน การใช้ไลฟ์สไตล์แบบไหน เป็นคนตัวใหญ่หรือตัวเล็ก ทุกคนมีความต้องการเดียวกันหมดคือ เรื่องการดูแลสุขภาพ ในฐานะบริษัทประกันที่มีส่วนในเรื่องความคุ้มครอง เรื่องสุขภาพ เราอยากทำออกมาให้ตอบโจทย์ให้ครบกับมิติการดูแลสุขภาพ ทุกความต้องการของลูกค้าทุกคน”
ล่าสุด การเดินเกมต่อในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 นี้ เมืองไทยประกันชีวิต ยังเลือกเดินหน้าเต็มสูบ ด้วยกลยุทธ์ “Health 5.0” ที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ นวัตกรรมความคุ้มครองด้านสุขภาพ ที่ช่วยขจัดปัญหาที่เป็น Pain Point ของลูกค้า ซึ่งคาดว่าจะทำให้การเติบโตธุรกิจในครึ่งปีหลังยังคงโตได้อีก 8-9%
สำหรับ Pain Point อันดับแรกที่ต้องขจัด สาระ มองว่าคือ Barrier ในเรื่องแบบประกันที่เข้าถึง “คนทุกกลุ่ม” เพราะแม้ทุกคนจะมีความแตกต่าง แต่มีความต้องการด้านความคุ้มครองสุขภาพที่เหมือนกัน
“มิติของเจเนเรชัน วันนี้มีความสำคัญมากๆ แต่ที่อยากให้เห็นภาพว่าจริงๆ แล้ว ไม่ใช่แค่ในเชิงเจเนเรชันอย่างเดียว แต่ยังมีในเชิงไลฟ์สไตล์ สถานะการเงิน บทบาทอาชีพที่รับผิดชอบ สถานะอื่นๆ ซึ่งวันนี้เราใช้หลักการ personalization เข้ามาช่วย”
ทิศทางการดำเนินธุรกิจ รวมถึงแบบประกันที่จะเกิดขึ้นในวันนี้และในอนาคตของ “เมืองไทยประกันชีวิต” จึงมีความเฉพาะตัว (Personalization) ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย (Generation) ทุกบทบาทของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นคนโสด คนมีครอบครัว วัยทำงาน วัยเกษียณ เจ้าของกิจการ พนักงานออฟฟิศ ฟรีแลนซ์ แม่บ้าน คนขับรถ พนักงานรักษาความปลอดภัย จะเป็นคนตัวเล็ก หรือตัวใหญ่ ไลฟ์สไตล์แบบไหน ก็สามารถเข้าถึงความคุ้มครองจากเมืองไทยประกันชีวิตได้
“ภายใต้โลกยุคใหม่ ยุคที่เราเห็นภาพของการใช้ Data เทคโนโลยีมาใช้ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีกฎเกณฑ์ใหม่ๆ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA เข้ามาเกี่ยวข้อง เราพยายามปรับกรอบเดิมๆ ของธุรกิจประกันสำหรับในโลกยุคใหม่ ทั้งมีการดูแลในเรื่องที่ไกลออกไปนิดหน่อยคือ ecosystem ด้านการดูแลสุขภาพของคน ในเรื่องสุขภาพ อาหาร การออกกำลังกาย เป็นต้น” สาระ กล่าว
ส่วนการจะเดินไปสู่เป้าหมายที่ว่าทำอย่างไรจะเติมเต็มให้กับการดูแลสุขภาพ สาระกล่าวว่า บริษัทประกันยุคนี้ จำเป็นมากที่ต้องพยายาม “ปรับ” ทุกด้าน โดยเฉพาะการ Transform ตัวเองเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกคน
- ทำงานบนประสบการณ์ลูกค้า
ปาณัท สุทธินนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมเสริมในเรื่องนี้ด้วย เขายอมรับเช่นกันว่า ความต้องการลูกค้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เป็นเหตุผลที่ทำให้เมืองไทยประกันชีวิตจึงหันมาคุยกับลูกค้ามากขึ้น
“เมื่อความต้องการลูกค้าเปลี่ยนไป Philosophy ของเราจึงเปลี่ยนจาก Inside out มาเป็น Outside in เราฟังลูกค้ามากขึ้น”
ผลของการนำ User Experience เหล่านี้มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ตรงตามกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มคือวันนี้เมืองไทยประกันชีวิตมีผลิตภัณฑ์หลากหลายที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้จริง เช่น การออกแบบประกัน ที่เป็นความคุ้มครองสุขภาพ แบบเหมาจ่าย Elite Health Plus ซึ่งจุดเด่นนอกจากจะสามารถเลือกซื้อความคุ้มครองเพิ่มได้ตามต้องการ เช่น ตรวจสุขภาพ ทำฟัน ดูแลสายตา หรือคุ้มครองคลอดบุตร คุ้มครองทั้งค่าห้องและค่ารักษา ครอบคลุมทั้งโรคร้ายแรง โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคระบาด โรคฝีดาษลิง โรคอุบัติใหม่ โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ ยังสามารถสมัครได้ถึงอายุ 90 ปี และให้ความคุ้มครองยาวถึงอายุ 99 ปี
“จะเห็นได้ว่าวันนี้สังคมผู้สูงวัยเติบโตมากขึ้นในสังคมไทย เรามองว่าน่าจะตอบโจทย์คนไทยได้มากขึ้น โดยการยืดอายุความคุ้มครองออกไป”
Personalization ยังสะท้อนความต้องการแตกต่างกัน แต่ก่อนแพ็กเกจสุขภาพถูกมัดรวมอยู่ในแพ็กเกจเดียว แต่ปัจจุบันเมืองไทยประกันชีวิตเป็นเจ้าแรกที่แยกกรมธรรม์ออกมา อาทิ แพคเกจตรวจสุขภาพ ทำฟัน ดูแลสายตา ความคุ้มครองการคลอดบุตร ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ความคุ้มครองโรคร้ายแรง เลือกได้ตามความต้องการ
“แต่โปรดักส์ไม่ได้เป็นแค่หมุดเดียวเท่านั้น ยังมีเรื่องการบริการลูกค้าและ ecosystem ต่างๆ ที่ยังพัฒนาได้อีก” ปาณัท กล่าว
ขณะที่ สาระ เสริมว่า เราไม่อยากเป็นอะไรที่ทำออกมาแล้ว ซื้อไม่ได้หรือใช้ไม่ได้ จึงแก้คือ เปลี่ยนจากซื้อเป็นbundle ซื้อเป็น module
- มุ่งสู่องค์กร Innovative Culture
ด้าน นาเดีย สุทธิกุลพานิช Head of Fuchsia บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมเปิดเผยถึงเหตุผลที่ Fuchsia Venture Capital บริษัทลูกภายใต้เมืองไทยกรุ๊ป พยายามเข้าไปลงทุนในด้านนวัตกรรมสุขภาพอนาคตต่างๆ โดยเฉพาะ HealthTech ว่า การจะเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นนวัตกรรม ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือสร้างความเข้าใจผลิตภัณฑ์ในอนาคต เราต้องเข้าใจเทรนด์ หรือเทคโนโลยีที่จะเข้ามากระทบกับชีวิตคนเราด้วย เพราะฉะนั้น Fuchsia จึงโฟกัสในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น HealthTech InsureTech FoodTech หรือ BioTech
ที่ผ่านมา Fuchsia VC ทำงานกับกลุ่มสตาร์ทอัพ และนำผลสำเร็จที่เป็นนวัตกรรมต่างๆ กลับมาเติมเต็มผลิตภัณฑ์ และการบริการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถเชิงการแข่งขันให้เมืองไทยประกันชีวิต
“ในมุมการลงทุน เราสามารถลงทุนได้ทั่วโลก ตัวอย่างหลักๆ ที่ลงทุนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีแพลตฟอร์มในการสร้างปลูกกระดูกจากสเต็มเซลส์หรือเนื้อเยื่อเราเอง เข่าเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม ซึ่งเราสามารถนำ Knowledge เหล่านี้ มาปรับใช้ในธุรกิจประกัน อีกเทรนด์ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พออายุมากขึ้น ด้วยพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์คนส่วนใหญ่ทำให้มักป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน ความดัน ซึ่งเป็นแรงจูงใจที่ทำให้ Fuchsia สนใจร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพสาย FoodTech อย่าง Alchemy FoodTech ในสิงคโปร์ ซึ่งกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Alchemy Fibre™ หรือคาร์โบไฮเดรตทางเลือก ที่มีคุณสมบัติกับการลดน้ำตาลในเลือด และสามารถทดแทนการรับประทานคาร์โบไฮเดรตทั่วไปได้ดยไม่ต้องเสียรสชาติ”
- บริการประกันที่เกินความคาดหมาย
แม้สถานการณ์โควิด 19 จะส่งผลกระทบต่อหลายด้านในธุรกิจประกัน แต่อีกมุมหนึ่งนี่คือโอกาสในหลายด้าน สาระเล่าถึงการที่มีคนให้ความสนใจมาใช้ แอปพลิเคชัน MTL Fit แอปพลิเคชันที่ “เมืองไทยประกันชีวิต” พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ และแอปพลิเคชัน MTL Click ซึ่งรวบรวมทุกบริการของเมืองไทยประกันชีวิต ซึ่งมีลูกค้าให้ความสนใจมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ในช่วงโควิด-19
“แต่ด้วยยุคที่เปลี่ยนไป ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า MTL click ยังไม่ตอบโจทย์ลูกค้าได้เหมือนที่คิด เราจึงรีบปรับปรุงพัฒนา เพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ พยายามปรับสิ่งที่ใช่ ที่เหมาะสำหรับลูกค้า รวมไปถึงการเชื่อมต่อกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจในด้านต่างๆ (Ecosystem Partners) ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายสถานพยาบาล พันธมิตรในตลาด อีคอมเมิร์ซ และพันธมิตรในกลุ่มสตาร์ทอัพ ที่ครอบคลุม ที่จะช่วยทำให้ลูกค้าของเมืองไทยประกันชีวิต ได้รับความสะดวก และเข้าถึงการบริการได้มากยิ่งขึ้น”
- “A True Story”
นอกจากนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ได้จัดทำแคมเปญ “A True Story” เพื่อสะท้อนถึงเรื่องราวด้านความคุ้มครองสุขภาพจากเมืองไทยประกันชีวิต ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก ด้วยการเปิดมุมมองและประสบการณ์จากลูกค้าตัวจริงหลากหลายแวดวงและบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น ชาลอต โทณวณิก ตัวแทนวัยอิสระ, ลีเดีย ศรัณย์รัชต์-แมทธิว ดีน ตัวแทนสำหรับผู้ที่มีครอบครัว, กัญญารัตน์ ปิยะนันทสมดี ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ หัวใจฟรีแลนซ์ และซินดี้ ปณิธิ จันทร์พิทักษ์ ตัวแทนของชาว LGBTQ+ มาร่วมสะท้อนมุมมองที่ตอบโจทย์ชีวิตและรูปแบบไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน พร้อมเปิดตัวโฆษณาชุดใหม่ “Life Stage” ทุกช่วงเวลาของชีวิต สุขภาพเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ โดยมี “เบลล่า” ราณี แคมเปน หนึ่งในลูกค้าตัวจริง มาร่วมถ่ายทอดเรื่องราว ทั้งหมดร่วมตอกย้ำความสำคัญของประกันชีวิตที่ว่า “ประกันต้องเป็นตัวช่วยลูกค้า ไม่ใช่ภาระ”