บล.กสิกรไทย แนะจับตาประชุมเฟด หากขึ้นดอกเบี้ยแรง 1% ฉุด SET หลุด 1,500 จุด

บล.กสิกรไทย  แนะจับตาประชุมเฟด หากขึ้นดอกเบี้ยแรง 1% ฉุด SET หลุด 1,500 จุด

บล.กสิกรไทย ชี้ 4 ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นสัปดาห์หน้า 1.) ประชุมเฟดคาดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% 2.) จีดีพีไตรมาส 2 ของสหรัฐ 3.) เจรจาลดภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐ-จีน และ 4.) สถานการณ์โรคระบาดในประเทศหลังพบผู้ป่วยฝีดาษลิงรายแรก แนะนำหุ้นเด่น GPSC และ PTG

บล.กสิกรไทย ระบุตลาดหุ้นสัปดาห์หน้ามีหลายปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่

1.) การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) วันที่ 27 ก.ค. ปัจจุบันตลาดคาดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% โดยโอกาสความน่าจะเป็นสูงราว 72.7%  

ทั้งนี้ หาก Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ตามคาดเชื่อว่าตลาดได้ Price In ข่าวนี้ไปแล้ว ประเมินแนวรับของ SET คาดอยู่ที่ 1,525 จุด แต่ถ้าขึ้น 1% แนวรับของ SET คาด 1,472 จุด อย่างไรก็ตามตลาดเริ่มคาดดอกเบี้ยสหรัฐจะเริ่มปรับลงในปี 2566 เพื่อต่อสู้กับเศรษฐกิจถดถอย

 

 

 

2.) การประกาศตัวเลข GDP 2Q65 ของสหรัฐในวันที่ 28 ก.ค.  ล่าสุด Fed Atlanta เผยแบบจำลอง GDPNow ล่าสุดยังคงคาด GDP สหรัฐยังหดตัว 1.6%  

3.) เจรจาลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างสหรัฐ-จีน (trade tariff) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน วางแผนที่จะพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์ภายในสิ้นเดือน ก.ค.นี้  ประเมินหากเกิดขึ้น คือ สหรัฐปรับลดภาษีจากจีนคาดจะปรับเพียงบางสินค้า โดยรวมประเมินจะบวกต่อหุ้น JWD คาดธุรกิจหลักจะได้ประโยชน์หากภาษีผ่อนคลาย เช่น คลังสินค้าสินค้าทั่วไป ลานสินค้าอันตราย อาหาร ขนส่งห้องเก็บให้เช่า โดยราคาหุ้นปัจจุบันปรับลงมา 38% รับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้ว 

 

4.) ติดตามสถานการณ์โรคระบาดในไทย หลังมีรายงานพบผู้ป่วยฝีดาษลิง รายแรกที่ภูเก็ตเป็นชายชาวไนจีเรีย หากแพร่กระจายในวงกว้าง ประเมินจะบวกต่อหุ้นถุงมือยาง และโรงพยาบาล

ขณะที่ทิศทางค่าเงินบาท (USD/THB) อ่อนค่าที่สุดในรอบ 16 ปี จ่อทะลุ 37 บาท หรือ อ่อนค่าแล้วเกือบ 10%ytd  ซึ่งทิศทางเงินบาทที่อ่อนเป็นผลลบต่อ Flow ต่างชาติ แต่จะบวกต่อภาคส่งออก ยังชื่นชอบหุ้นส่งออกอาหาร อาทิ ASIAN, CPF  และหุ้นท่องเที่ยว CENTEL, SHR

ด้านราคาน้ำมันดิบที่ปรับลงเป็นผลจากข่าวรัสเซียได้กลับมาส่งก๊าซธรรมชาติไปยังยุโรปผ่านทางท่อส่ง Nord Stream 1 หลังเสร็จสิ้นการซ่อมบำรุงประจำปี จากก่อนหน้าตลาดกังวลว่ารัสเซียจะไม่ส่งก๊าซให้ยุโรป หากรวมความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอย  KS  ยังคงคาดราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผ่าน Peak ไปแล้ว  โดยรวมยังมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาพลังงานปรับลง คือ Anti commodity แนะนำ BGRIM, GPSC, PTG

 

หุ้น Top pick  

- GPSC (ราคาพื้นฐาน 85.00 บาท) เป็นหุ้น Anticommodity ที่ได้ประโยชน์จากราคาพลังงาน ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติปรับลง และคาดผ่านจุด  Peak แล้ว โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/2565 จะดีขึ้น QoQ หนุนจาก กกพ. ปรับเพิ่มค่า Ft เป็นครั้งที่ 2 (เดือน พ.ค.-ส.ค. 2565) เป็น 0.248 บาท/หน่วย

ส่วน GE ระยะที่ 5 สามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค. 2565 หลังการหยุดเดินเครื่อง ขณะนี้อยู่ในกระบวนการเจรจาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่เหลือในปี 2565 อาจอยู่ที่ 600-700 ล้านบาท และมี Catalyst หนุนราคา แนวโน้ม Ft งวดก.ย.-ธ.ค. 2565 อาจปรับขึ้น 90-100  สตางค์ต่อหน่วย (ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าที่ให้ข่าวช่วงกลางเดือน มิ.ย. 2565 คาดจะปรับ 40 สตางค์) ประเมินจะบวกกับโรงไฟฟ้าประเภท SPP 

- PTG (ราคาพื้นฐาน 17.00 บาท) คาดกำไรงวดไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 400 ล้านบาท จะเติบโตสูง 150%QoQ แรงหนุนจาก GPM/ลิตร ทีสูงและวอลุ่มขายน้ำมันที่สูงคาด 7%QoQ หนุน SG&A/ลิตร ปรับลง ประเมินกำไรครึ่งหลังปี 2565 จะเติบโตดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก จากการเดินหน้าเปิดเมืองในประเทศ

ราคาหุ้น PTG ปัจจุบัน Valuation ค่อนข้างถูกสะท้อนจากPBV ปี 2566 อยู่ที่ 2.29x ต่ำกว่า -1SD สวนทางผลประกอบการที่กลับมาภาวะปกติ และได้ Sentiment บวกจากราคาพลังงานที่ลง 

นอกจากนี้ แนะนำนักลงทุนทยอยสะสม กองทุน SSF ในช่วงปลายเดือน ก.ค.-ส.ค. ถือเป็นจังหวะที่ดีเมื่อเทียบกับภาวะปกติที่นักลงทุนมักจะซื้อปลายปี  โดยเน้นไปที่กองทุน SSF ที่เน้นหุ้นกลุ่ม Growth และกลุ่ม Technology ฝั่งสหรัฐ 

โดยแนะนำกองทุน SSF คือ

1.) K-Change-SSF  มีสัดส่วนลงทุนในบริษัท Biotech และบริษัท Tech อื่นๆ อาทิ TESLA, MODERNA, TSMC

2.) กองทุน K-USA-SSF มีสัดส่วนการลงทุนใน Sector IT สูงราว 45% ถัดมากกลุ่ม Communication Service 21.6% ฯลฯ ในส่วนของหุ้น Growth และหุ้น Tech ในไทย KS แนะนำกลุ่ม Tech Consult แนะนำ BBIK, BE8