สถานการณ์โควิดผ่อนคลาย เร่งสร้างบรรยากาศท่องเที่ยว
สถานการณ์โควิดเริ่มผ่อนคลาย รัฐบาลอย่านิ่งเฉย ต้องหาทางส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่างชาติและคนไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
สถานการณ์ "โควิด-19" ช่วงนี้ซาๆ ไป ไม่ใช่ไม่มีคนติด แต่ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงติดแล้วมักมีอาการน้อยเหมือนกับเป็นหวัดธรรมดา ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่แค่เมืองไทย
"องค์การอนามัยโลก" (ดับเบิลยูเอชโอ) รายงานว่า ยอดผู้เสียชีวิตสะสมจากโรคโควิด-19ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลงสู่ระดับเดียวกับเมื่อเดือน มี.ค. 2563 ระหว่างวันที่ 5-11 ก.ย. มียอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 10,935 รายทั่วโลก ลดลง 22% จากสัปดาห์ก่อนหน้า และยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสัปดาห์ดังกล่าวลดลง 28% สู่ระดับ 3.13 ล้านคน นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ถึงกับเอ่ยปากว่า จุดจบของโควิด-19 อยู่ไม่ไกล
นี่เป็นการประเมินบวกที่สุดของดับเบิลยูเอชโอ นับตั้งแต่ประกาศให้โควิดเป็นเหตุฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ เมื่อเดือน ม.ค. 2563 แล้วประกาศให้โควิด-19 เป็นการระบาดใหญ่ในสามเดือนต่อมา พูดแบบนี้ใช่ว่าจะประมาท ผอ.ดับเบิลยูเอชโอเตือนด้วยว่า โควิดยังไม่จบและประชาชนต้องเพิ่มการระมัดระวังยับยั้งเชื้อโควิดต่อไป แต่ต้องยอมรับเมื่อโควิดซาลงช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นมาก
ยกตัวอย่างประเทศอังกฤษตอนโควิดระบาดแรกๆ เรียกได้ว่าหนักมาก ล่าสุดชมภาพบรรยากาศประชาชนต่อแถวยาวเหยียดกว่าสามกิโลเมตร รอถวายความอาลัยแด่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แทบไม่มีใครสวมหน้ากากกันแล้ว ผู้คนใช้ชีวิตปกติ (มานานแล้ว)
การใช้ชีวิตหลังโควิดเป็นเรื่องสำคัญ ชีวิตที่ปกติช่วยส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยว ข้อมูลจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำรวจความเห็นจากภาคธุรกิจถึงผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกต่อธุรกิจไทยในปัจจุบัน จำนวน 850 ตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 6-12 กันยายน 2565 คาดการณ์ว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ จะกดดันจีดีพีไทยในปีนี้ให้ลดลงมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน
การจะลดความเสี่ยงดังกล่าวต้องผลักดันตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศให้เพิ่มขึ้นไปใกล้เคียงหรือมากกว่า 10 ล้านคน ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยว 10 ล้านคนจะสร้างเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจกว่า 2.4 แสนล้านบาท
เรียกได้ว่าภายใต้สถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อการท่องเที่ยวยังคงเป็นตัวช่วยหลักของหลายๆ ประเทศ แม้แต่ญี่ปุ่นก็ฉวยจังหวะ "เงินเยนอ่อนค่า" เมื่อเทียบกับดอลลาร์ชิงกำลังซื้อที่เพิ่มมากขึ้นจากนักท่องเที่ยว เตรียม "ยกเลิกวีซา" ให้นักเดินทางระยะสั้นจากสหรัฐและบางประเทศ เลิกคุมจำนวนคนเข้าประเทศที่วันละ 50,000 คน
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะแถลงมาตรการดังกล่าวเร็วๆ นี้ รัฐบาลไทยเองต้องไม่อยู่นิ่งเฉย อะไรที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ต้องทำ ระหว่างรอนักท่องเที่ยวต่างชาติคนไทยด้วยกันก็ต้องไม่มองข้าม การท่องเที่ยวในประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ที่สำคัญคือต้องให้คนมีเงินในกระเป๋าเสียก่อน ถ้ามีเงินแล้วการจับจ่ายใช้สอยหรือท่องเที่ยวก็ทำได้สบายๆ