ตรวจสอบ 'ประกันรายได้เกษตรกร' ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2565/66 งวดที่ 11-12

ติดตามโครงการ "ประกันรายได้เกษตรกร" ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2565/66 หนึ่งมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากภาครัฐที่ทุ่มงบลงมา หวังช่วยเหลือให้เกษตรกรทั้งผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

ล่าสุด วันนี้ (18 ต.ค.66) กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เผยแพร่ ประกาศคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เรื่อง การกำหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง และการชดเชยส่วนต่างราคาตามโครงการ "ประกันรายได้เกษตรกร" ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2565/66 งวดที่ 11 และงวดที่ 12 ความว่า

ตามที่คณะอนุกรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ได้ออกประกาศคณะอนุกรรมการกำกับดูแล และกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิง โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ การดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2565/66 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2566 ไปแล้วนั้น

คณะอนุกรรมการกำกับดูแลปละกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการ "ประกันรายได้เกษตรกร" ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 7/2566 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 เห็นชอบการกำหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงตาม โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2565/66 งวดที่ 11 และงวดที่ 12 ดังนี้

• ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง

โครงการ "ประกันรายได้เกษตรกร" ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2565/66 งวดที่ 11 สำหรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยมีวันเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 และระบุวันที่คาดว่าจะเก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม - 19 กันยายน 2566 เป็นต้นไป สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมล็ดความชื้นไม่เกิน 14.5% กิโลกรัมละ 10.86 บาท

 

งวดที่ 12 สำหรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยมีวันเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 และระบุวันที่คาดว่าจะเก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2566 เป็นต้นไป สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมล็ดความชื้นไม่เกิน 14.5% กิโลกรัมละ 10.20 บาท

โดย การชดเชยส่วนต่างทั้ง 2 ดังกล่าวเมื่อคำนวณส่วนต่างจากราคาเป้าหมาย กับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง ในครั้งนี้สูงกว่าราคาเป้าหมาย (กิโลกรัมละ 8.50 บาท) จึงไม่มีการจ่ายชดเชยส่วนต่างให้แก่เกษตรกร

 

ที่มา : กรมการค้าภายใน