สภาอุตหกรรมเร่งปรับตัวรับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก

สภาอุตหกรรมเร่งปรับตัวรับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก

สภาอุตฯ ชี้ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แนะไทยเตรียมความพร้อมรองรับการย้ายฐานการผลิต เสนอรัฐตั้งนิคมอุตสาหกรรมซัพพลายเชน

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวในการสัมมนางานGeopolitics 2024 หัวข้อ “รัฐปรับตัว ธุรกิจปรับแผน พลิกวิกฤติสู้โอกาส”ว่า ปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เกิดขึ้นในช่วงของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ทำให้มีการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 20-25 % เกิดการแบ่งค่ายในเรื่องของซัพพลายเชย เทคโนโลยี โดยสหรัฐและจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 และอันดับ 2 ของไทย ซึ่งไทยได้ดุลการค้าสหรัฐปีละ 2 หมื่นล้านบาทขณะที่จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ที่ไทยส่งออกวัตถุดิบส่งไปยังจีนเพื่อผลิตเป็นสินค้าส่งออกของจีน

โดยในช่วงสงครามการค้า สภาอุตสาหกรรมที่มี 45 กลุ่ม ได้รับผลกระทบคำสั่งซื้อลดลง โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นชิ้นส่วน อะไหล่ หรือสินค้าที่เป็นวัตถุดิบ ที่ผลิตสินค้าส่งออกไปยังประเทศอื่น แต่ในวิกฤตินี้บางกลุ่มอุตสาหกรรมก็เป็นโอกาส โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ ซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศเป็นอัน 2 ของโลกรองจากจีน มีคำสั่งซื้อจำนวนมากผลิตแทบไม่ทัน

 

ต่อมาเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน สงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาส เกิดเป็นปัญหาวิกฤต แต่ทุกวิกฤติก็มีโอกาส ก่อนหน้านี้เราต้องคำนึงถึงความมั่นคงทางพลังงาน หรือความมั่นคงทางอาหาร แต่ปัจจุบันเราต้องพูดความมั่นคงทางด้านซัพพลายเชน ดังนั้นภาคอุตสาหกรรมเราต้องปรับเปลี่ยนการผลิตของเราจากเดิมที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิต โดย 30 % เรานำเข้าจากจีน ซึ่งเป็นประเด็นที่เรามาศึกษาทำอย่างไรในการเพิ่มสัดส่วนการผลิตให้เพิ่มขึ้น เพราะผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์? โดยทางสภาอุตสาหกรรม ตั้งเป้า ไว้ว่าจากนี้ 3-5 ปี จะมีการผลิตทดแทนการนำเข้าให้ได้ 10 % และอีก 20 % ภายใน 10 ปี โดยทางสภาฯต้องการให้มีการตั้งนิคมอุตสาหกรมด้านซัพพลายเชน

ทั้งนี้ในช่วงปีที่ผ่านมา ปัญหาสงครามที่เกิดขึ้นทำให้เกิดวิกฤตทางอาหาร ทำให้การส่งออกอาหาร อุตสาหกรรมอาหารของไทยส่งออกได้มาก ดังนั้นปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์  จะเป็นปัจจัยสำคัญทางเศรษฐกิจและจะมีความเข้มข้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ต้องดูผลการเลือกตั้งของสหรัฐจะออกมาเป็นอย่างไร นโยบายด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตามวิกฤตปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ถือเป็นโอกาสของไทยในเรื่องของการย้ายฐานการผลิต ซึ่งไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้นยังมีเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และที่ต้องจับตาในอนาคตคือ ฟิลิปปินส์

โดยนักลงทุนจะมาลงทุนในประเทศใดจะพิจารณาว่า แต่ละประเทศว่ามีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร มีซัพพลายเชนมากน้อยแค่ไหน เหมาะสมกับการลงทุนในอุตสาหกรรมใด ซึ่งไทยมีความพร้อมในหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในอีอีซี โดยนักลงทุนจีนเพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา 

 

นายเกรียงไกร กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรม เริ่มมีการปรับตัวให้เข้ากับอุตสาหกรรมใหม่ โดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้าอัจฉริยะ  กำลังวางแผนเพื่อปรับโครงสร้างสอดคล้องกับการการย้ายฐานของนักลงทุนไต้หวัน ซัพพลายเชน

อย่างไรก็ตามเราเองจะต้องมีการเตรียมความพร้อมในการดึงดูดนักลงทุนโดยเฉพาะการลดอุปสรรคทางการค้าทั้งด้านกฏระเบียบ กฏหมาย ต่างๆที่ล้าสมัย ที่เป็นอุปสรรค ปรับปรุงให้มีความทันสมัยมากขึ้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ  ซึ่งที่ผ่านมาขีดความสามารถการแข่งขันแม้ปีที่แล้วได้อันดับที่ 30 จะดีขึ้นแต่เราตั้งเป้าไว้เป็นอันดับที่ 20 ของโลก และต้องเตรียมออกกฏหมายเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคตซึ่งก็มีความสำคัญไม่น้อยไปว่ากัน รวมทั้งอำนวยความสะดวกด้านการทำธุรกิจด้วย

ทั้งนี้ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์แม้จะเป็นวิกฤตแต่ก็เป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยที่จะเอาวิกฤตนี้เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมดั้งเดิมไทยเข้าสูอุตสาหกรรมใหม่