สนามแข่งชิปไม่หมู ‘Intel’ ขาดทุน 250,000 ล้านบาท รายได้ลดลง 31% จากปีที่แล้ว
“Intel” (อินเทล) บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ประสบขาดทุนหนักมากถึง 256,000 ล้านบาท อีกทั้งรายได้ยังลดลง 31% จากปีที่แล้วด้วย สะท้อนว่าสนามแข่งด้านชิปนี้ไม่ง่าย แม้ดูเหมือนต้องใช้วิทยาการสูงก็ตาม
ไม่นานมานี้ สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า บริษัท “Intel” (อินเทล) ผู้ผลิตชิปประมวลผลรายใหญ่ของโลก สัญชาติสหรัฐได้ประสบ “ขาดทุนจากการดำเนินงาน” ในปี 2566 กว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 256,000 ล้านบาท ซึ่งหนักกว่าปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 5,200 ล้านดอลลาร์
ขณะที่รายได้ในปี 2566 ของบริษัทเป็น 18,900 ล้านดอลลาร์ หรือราว 700,000 ล้านบาท ลดลง 31% จาก 27,490 ล้านดอลลาร์ของปีที่แล้ว
ราคาหุ้น Intel จึงปรับตัวลง 4.3% หลังจากที่ข้อมูลทางการเงินดังกล่าวออกมา โดย แพท เกลซิงเกอร์ (Pat Gelsinger) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ Intel กล่าวต่อเรื่องนี้ว่า ปี 2567 จะเป็นปีที่แย่ที่สุดสำหรับการขาดทุนของธุรกิจผลิตชิป และคาดว่าจะกลับมาสู่จุดคุ้มทุนได้ในราวปี 2570
เกลซิงเกอร์ให้ความเห็นกับการขาดทุนหนักครั้งนี้ว่า เป็นเพราะบริษัทตัดสินใจผิดพลาด ไม่ลงทุนเครื่องจักร Extreme Ultraviolet Lithography (EUV) ในการผลิตชิปขั้นสูงตั้งแต่ปีที่แล้ว จริงอยู่ที่เครื่องของบริษัท ASML จากเนเธอร์แลนด์นี้แพงถึง 150 ล้านดอลลาร์ หรือราว 5,500 ล้านบาท แต่สามารถผลิตชิปที่คุ้มกับต้นทุนได้มากกว่าเครื่องจักรแบบก่อน
อย่างไรก็ตาม Intel พยายามพึ่งพาลำแข้งตัวเองมากขึ้น โดยลดการใช้แผ่นเวเฟอร์ชิปจากบริษัท TSMC ลงจากเดิมที่ราว 30% สู่เป้าหมาย 20% แทน และหันมาผลิตชิ้นส่วนนี้ด้วยตัวเองมากขึ้น อีกทั้งเพิ่มการใช้เครื่องมือ EUV แทนเครื่องจักรเดิม นับเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อแก้สถานการณ์รายได้ร่วง
นอกจากนี้ Intel ยังทุ่มลงทุน 100,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3.6 ล้านล้านบาท เพื่อสร้างและขยายโรงงานชิปใน 4 มลรัฐของสหรัฐ เพื่อเร่งกำลังการผลิต และให้สามารถตามทันคู่แข่งด้านชิปอย่าง TSMC และ Samsung ที่ขยายโรงงานผลิตเช่นเดียวกัน
อ้างอิง: reuters
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์