ราคาน้ำมันร่วง คาดการณ์ความต้องการพลังงานของสหรัฐทรงตัว
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงในวันอังคาร หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐ คาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันของสหรัฐจะทรงตัวในปีนี้ แต่การลดลงนี้ถูกจำกัดด้วยมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของรัสเซียไปยังผู้ซื้อรายสำคัญ เช่น อินเดียและจีน
รอยเตอร์สรายงานภาวะตลาดซื้อขายน้ำมันดิบในวันอังคาร (14 ม.ค.) ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ตลาดล่วงหน้าร่วงลง 1.09 ดอลลาร์ หรือ 1.35% ปิดที่ 79.92 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ของสหรัฐ ลดลง 1.32 ดอลลาร์ หรือ 1.67% ปิดที่ 77.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 2% ในวันจันทร์ (13 ม.ค.) หลังจากที่กระทรวงการคลังสหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรบริษัท Gazprom Neft และ Surgutneftegas ในวันศุกร์ รวมทั้งเรือ 183 ลำที่ขนส่งน้ำมันและเป็นส่วนหนึ่งของกองเรือบรรทุกน้ำมันเงาของรัสเซีย
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ(EIA) กล่าวในวันอังคารว่า ความต้องการน้ำมันในสหรัฐ จะยังคงอยู่ระดับเดิมที่ 20.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) ในปี 2025 และ 2026 แต่ปริมาณการผลิตน้ำมันของประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 13.55 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ของ EIA ที่ 13.52 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้
ฟิล ฟลินน์ นักวิเคราะห์อาวุโสของ Price Futures Group กล่าวว่า ตลาดคาดการณ์แนวโน้มพลังงานในระยะสั้นของ EIA เพื่อดูว่าอุปทานที่เพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้จะผลิกกลับหรือไม่
ฟลินน์กล่าวว่า "ตลาดกำลังรอดูว่าอุปทานล้นตลาดตามที่ EIA คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ จะยังคงอยู่ในการคาดการณ์ล่าสุดหรือไม่"
แม้ว่านักวิเคราะห์จะยังคาดว่ามาตรการคว่ำบาตรใหม่จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันของรัสเซียอย่างมีนัยสำคัญ แต่ผลกระทบต่อตลาดจริงอาจไม่ชัดเจนเท่าที่ปริมาณที่ได้รับผลกระทบอาจบ่งชี้ได้
นักวิเคราะห์ของธนาคาร ING ประเมินว่ามาตรการคว่ำบาตรใหม่นี้มีแนวโน้มที่จะทำให้ปริมาณน้ำมันดิบส่วนเกิน 700,000 บาร์เรลต่อวันหายไปทั้งหมดในปีนี้ แต่กล่าวว่าผลกระทบที่แท้จริงอาจต่ำกว่านี้
"การลดลงของปริมาณน้ำมันน่าจะน้อยลง เนื่องจากรัสเซียและผู้ซื้อสามารถหาทางหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรเหล่านี้ได้" พวกเขากล่าวในบันทึก
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอุปสงค์จากผู้ซื้อรายใหญ่อย่างจีนอาจบรรเทาผลกระทบจากอุปทานที่ตึงตัวได้ ข้อมูลทางการจีนเมื่อวันจันทร์แสดงให้เห็นว่าการนำเข้าน้ำมันดิบของจีนลดลงในปี 2024 ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบสองทศวรรษ