สถานะและแนวโน้ม ‘ศูนย์ข้อมูลอาเซียน’ | ASEAN Insight

จากบทวิเคราะห์ พบว่า อาเซียนยังขาดความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูล ทั้งจำนวนเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจและประชากร และความสามารถในการรองรับผู้ใช้งาน

ศูนย์ข้อมูล (Data Center) เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล โดยทำหน้าที่เพื่อใช้ในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลขององค์กร ประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์เครือข่าย ที่เชื่อมโยงกันเพื่อรองรับการดำเนินงาน การเข้าถึง และการจัดเก็บข้อมูลดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับองค์กรหรือผู้ให้บริการ

ปัจจุบันการเติบโตของเทคโนโลยี เช่น การประมวลผลแบบคลาวด์ (Cloud Computing) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ส่งผลให้มีความต้องการใช้ข้อมูลจำนวนมากทำให้หลายประเทศเร่งลงทุนและพัฒนาศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับความต้องการเหล่านี้

การพัฒนาศูนย์ข้อมูลในอาเซียนเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2000 โดยมีสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางหลักของภูมิภาค รวมทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ความเคลื่อนไหวล่าสุดในอาเซียน คณะกรรมการลงทุนของไทยได้อนุมัติการลงทุนในศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์มูลค่ากว่า 90,900 ล้านบาท ขณะเดียวกันอินโดนีเซียกำลังเตรียมเปิดศูนย์ข้อมูลแห่งชาติในพื้นที่ชิการัง เมืองเบกาซี จังหวัดชวาตะวันตก ภายในเดือนเมษายน 2568

รายงานของ ASEAN Centre for Energy (2024) ระบุว่า ปัจจุบันอาเซียนมีศูนย์ข้อมูลที่เปิดดำเนินการราว 1.5 กิกะวัตต์ (GW) อยู่ระหว่างการก่อสร้างกว่า 500 เมกะวัตต์ (MW) และอีกเกือบ 2 GW อยู่ในขั้นตอนการวางแผน ทั้งนี้ Maybank Research Pte Ltd (2024) คาดการณ์ว่า ความต้องการใช้ศูนย์ข้อมูลในอาเซียนจะเพิ่มขึ้นจาก 1,694 MW ในปี 2566 เป็นกว่า 4,214 MW ภายในปี 2571 หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 2.5 เท่า

อย่างไรก็ดี รายงานของ ASEAN Centre for Energy (2024) ชี้ให้เห็นว่าศูนย์ข้อมูลในอาเซียนยังเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการ ได้แก่

(1) ปัญหาการหยุดชะงักบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ การออกแบบระบบสำรองที่มีประสิทธิภาพ เช่น ระบบไฟสำรอง ห้องแบตเตอรี่แยก จึงเป็นสิ่งจำเป็น 

(2) การก่อสร้างศูนย์ข้อมูลแบบดั้งเดิมใช้เวลาและต้นทุนที่สูง ไม่สามารถรองรับความต้องการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว 

(3) ศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานสูง โดยการใช้พลังงานจาก AI และการขยายตัวของตู้เซิร์ฟเวอร์ทำให้ภาระด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนสูงขึ้น และ 

(4) ศูนย์ข้อมูลจำนวนมากยังใช้การดำเนินงานแบบใช้แรงงานคนเป็นหลัก และขาดแคลนบุคลากรที่มีความชำนาญในการดูแลและบำรุงรักษาระบบ ส่งผลให้เกิดการสูญเสียทรัพยากร เช่น ไฟฟ้า น้ำ และพื้นที่ใช้งาน

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีสูง ข้อมูลจาก Maybank Research Pte Ltd (2024) ระบุว่า อาเซียนยังมีช่องว่างด้านการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลอย่างชัดเจน โดยอาเซียนมีความจุของศูนย์ข้อมูลเพียง 2.5 เมกะวัตต์ต่อประชากรหนึ่งล้านคน ขณะที่สหรัฐมีมากกว่าเกือบ 10 เท่า นอกจากนี้ หากดูในมิติเศรษฐกิจ อาเซียนมีความจุศูนย์ข้อมูลเพียง 0.15 เมกะวัตต์ต่อ GDP (ปรับด้วย PPP) ขณะที่สหรัฐมีมากกว่าราว 3 เท่า สิ่งนี้สะท้อนว่าการลงทุนในศูนย์ข้อมูลยังไม่สอดคล้องกับศักยภาพทางเศรษฐกิจ และอาจกลายเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต

รายงานจาก Cushman & Wakefield (2025) ยังแสดงให้เห็นว่า หลายประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ถูกจัดในกลุ่มที่มีความพร้อมต่ำ (รองรับผู้ใช้งานมากกว่า 100,000 คน/MW) ซึ่งหมายความว่า ศูนย์ข้อมูลที่มีอยู่ต้องรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก โดยเฉพาะเวียดนามและฟิลิปปินส์ ตรงกันข้ามกับสิงคโปร์ซึ่งถูกจัดในกลุ่มที่มีความพร้อมสูง (รองรับผู้ใช้งานน้อยกว่า 100,000 คน/MW) แสดงถึงความพร้อมและศูนย์ข้อมูลที่เพียงพอรองรับความต้องการ

จากตัวชี้วัดข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าอาเซียนยังขาดความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล ทั้งมิติของจำนวนที่มีอยู่เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจและประชากร ตลอดจนความสามารถในการรองรับผู้ใช้งาน ซึ่งอาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและการดึงดูดการลงทุน

ดังนั้น ภาครัฐในประเทศอาเซียนควรเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ออกมาตรการจูงใจการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างรัฐ-เอกชน รวมถึงการพัฒนา Green Data Center เพื่อรองรับความต้องการของบริษัทข้ามชาติที่ให้ความสำคัญกับ ESG และเป้าหมาย Net Zero โดยทั้งหมดนี้ถือเป็นโอกาสเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนในระยะยาว