อาเซียนท่ามกลาง Trump 2.0 | ASEAN Insight

การกลับมาครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่อาจเรียกว่าทรัมป์คาดเดาไม่ได้เสียทั้งหมด เพราะแท้จริงแล้ว ทรัมป์ยังคงดำเนินงานแบบคาดเดาได้ และอาเซียนมีความเสี่ยงสูงได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0
การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐ ในสมัยที่สอง หรือ Trump 2.0 ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการกลับมาบริหารประเทศที่คาดการณ์ไม่ได้ (Unpredictable) ไปเสียทั้งหมด เพราะแท้จริงแล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ดำเนินงานแบบคาดการณ์ได้ (Predictable) อย่างเป็นที่ประจักษ์จาก Trump 1.0 และ Trump 2.0 ในช่วงที่ผ่านมา 4 ประการ ดังนี้
1. America First โดยยังคงเน้นการปกป้องผลประโยชน์ชาวอเมริกัน ทั้งการปกป้องการค้า (Protectionism) โดยใช้ภาษีเพื่อป้องกันสินค้านำเข้าและสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคง รวมถึงใช้นโยบายการค้าเพื่อรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ตลอดจนการแยกตัวโดดเดี่ยวและชาตินิยม (Nationalism) เช่น การถอนตัวจากข้อตกลงระหว่างประเทศ และการระงับความช่วยเหลือต่างประเทศ
2. การเน้นการเจรจาแบบสองฝ่าย (Bilateral) มากกว่าการเจรจาแบบหลายฝ่าย (Multilateral) โดยมองว่าเป็นวิธีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพราะช่วยให้สหรัฐสามารถควบคุมและกำหนดเงื่อนไขได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “America First”
3. ไม่สนับสนุนการแก้ไขปัญหา Climate Change แต่ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยถอนสหรัฐออกจากความตกลงปารีสเป็นครั้งที่สอง รวมถึงสนับสนุนการผลิตและใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โดยเปิดให้เช่าพื้นที่ทำโครงการน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่ง ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว ตลอดจนยกเลิกการอุดหนุนเรื่องพลังงานสีเขียวที่รัฐบาลก่อนหน้านำมาใช้
4. บริหารประเทศแบบนักธุรกิจ มากกว่าการบริหารแบบนักการเมืองหรือนักรัฐศาสตร์ โดยประธานาธิบดีทรัมป์มักใช้การเจรจาที่ไม่คาดคิดและไม่ตามแบบแผน ซึ่งเป็นลักษณะของการเจรจาแบบธุรกิจ และมักจะใช้การเจรจาแบบสองฝ่ายและเน้นการได้เปรียบในระยะสั้น รวมถึงการใช้กลยุทธ์การเรียกร้องสิ่งที่สูงเกินจริง หรือการยื่นข้อเสนอที่เข้มงวด เพื่อเปิดโอกาสในการต่อรอง
แม้ Trump 2.0 จะคาดการณ์ได้ใน 4 ประการข้างต้น แต่ทั่วโลกต้องเตรียมรับมือกับ สิ่งที่ยังคงคาดการณ์ไม่ได้ (Unpredictable) ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในยุค Trump 2.0 ซึ่งขณะนี้เราอยู่ในสงครามการค้าครั้งที่ 2 แล้ว เพราะสหรัฐและคู่ค้า เริ่มทำการตอบโต้ทางภาษีกันแล้ว และความไม่แน่นอนจะเพิ่มขึ้น หลังจากสหรัฐออกมาตรการทางภาษีกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก (Reciprocal Tariffs) ในวันที่ 2 เม.ย. 2568
ประเทศในอาเซียนพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศระดับสูง และกว่าครึ่งของประเทศสมาชิกอาเซียนติด Top 20 ของประเทศที่สหรัฐขาดดุลทางการค้าสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ทำให้อาเซียนมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจาก Trump 2.0 อาเซียนจึงต้องเตรียมพร้อมในการรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
ผลกระทบเชิงบวก เช่น บริษัทข้ามชาติมีแนวโน้มย้ายฐานการผลิตออกจากจีนหรือประเทศอื่น ๆ มายังอาเซียน ซึ่งมีต้นทุนด้านแรงงานต่ำ มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้น และสามารถรองรับการผลิตที่ใช้แรงงานจำนวนมาก นอกจากนี้ การที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0 สินค้าส่งออกของอาเซียนมีแนวโน้มจะมีราคาต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าส่งออกของสหรัฐในตลาดโลก ทำให้สินค้าของอาเซียนมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้นในแง่ของราคา
ผลกระทบเชิงลบ การที่สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน จะทำให้สินค้าจีนถูกส่งไปจำหน่ายในตลาดอื่นๆ เช่นในอาเซียนมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตในอาเซียนเผชิญการแข่งขันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น ขณะเดียวกันความไม่แน่นอนของนโยบายของสหรัฐอาจทำให้นักลงทุนลังเลที่จะลงทุนในภูมิภาคนี้ ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจโดยรวม
แนวทางการรับมือของอาเซียนสามารถทำได้ 3 วิธีควบคู่กันไป ดังนี้ 1) เข้าเจรจากับสหรัฐเชิงรุกเพื่อเสนอข้อเสนอที่ได้ประโยชน์ร่วมกันกับสหรัฐแต่ต้องไม่เสียผลประโยชน์แห่งชาติ เพื่อแลกกับการขึ้นภาษีนำเข้า 2) กระจายตลาดส่งออกไปยังตลาดทางเลือกเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป โดยเฉพาะสหรัฐและจีน 3) เสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยการเพิ่มปริมาณการค้าภายในกลุ่มเพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอก และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจในภูมิภาค เช่น การลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน โดยเฉพาะการยกระดับมาตรฐานการค้าต่างๆ ของภูมิภาคให้สอดประสานกัน รวมถึงการส่งเสริมและพัฒนาให้ข้อตกลงทางการค้าภายในภูมิภาคมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสร้างเสถียรภาพและลดการพึ่งพาตลาดนอกภูมิภาค
ท้ายที่สุดนี้ การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในระบบการค้าโลกและในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายหรือโอกาส ไม่ว่าจะเป็นจาก Trump 2.0 จากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียงด้านสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับวิธีประเทศในอาเซียนจะปรับตัวและตอบสนอง หากอาเซียนสามารถรวมพลังกันได้อย่างแข็งแกร่ง เราจะสามารถเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส และสร้างอนาคตที่มั่นคงทางด้านการค้าและการลงทุนสำหรับภูมิภาคได้