พลังงานแนะปตท.ลุยลงทุนตปท.ช่วงน้ำมันผันผวน

พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังรับฟังรายงานผลการดำเนินงานของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ว่า จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ประกอบกับราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวน จึงมอบนโยบายให้ ปตท. มีการปรับตัวเรื่องแผนการลงทุนในต่างประเทศทั้งระยะสั้น กลาง ยาว ให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำให้ ปตท.สร้างความเข้าใจต่อสาธารณชนเรื่องการดำเนินธุรกิจที่มีบทบาททั้งการรักษาผลประโยชน์ของภาครัฐในฐานะที่เป็นรัฐวิสาหกิจและต้องรักษาผลประโยชน์ในฐานะที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรให้กลับคืนมา เพราะส่วนตัวมองว่า ปตท.มีส่วนสำคัญในการดูแลราคาขายปลีกน้ำมัน แม้ที่สุดจะต้องทำให้สะท้อนกลไกตลาดโลก แต่การปรับขึ้นไม่ควรรวดเร็วเกินไป โดยขณะนี้ราคาพลังงานภาพรวมสะท้อนกลไกตลาดแล้วเหลือเพียงราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ที่ยังต่ำกว่าต้นทุนปัจจุบันอยู่ที่ 15.52 บาทต่อกิโลกรัม แต่ราคาขายปลีกเอ็นจีวีที่ปรับขึ้นไป 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้อยู่ที่ระดับ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม ยกเว้นรถโดยสาธารณะที่รัฐยังอยู่ที่ 10 บาทต่อกิโลกรัม ภาพรวมตลอด 12 ปีที่ผ่านมาปตท.จึงต้องแบกรับภาระราคาเอ็นจีวีที่ต่ำกว่าต้นทุนไปแล้วถึงกว่า 100,000 ล้านบาท

“มีนโยบายที่จะให้ราคาเอ็นจีวีสะท้อนกลไกตลาด โดยการปรับราคาจะมีการพิจารณาเป็นรายเดือน ส่วนจะขึ้นอีกหรือไม่ ยังตอบไม่ได้ เพราะต้องอยู่ที่ราคาตลาดโลกเดือนตุลาคมนี้ด้วย และคงต้องดูภาพรวมหลายด้าน โดยกรอบใหญ่ที่มอบให้ คือ ประชาชนอยากให้เกิดการแข่งขันก็ต้องไปดูจุดนี้ ซึ่ง ปตท.ทำอยู่แล้ว” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าว

ด้านนายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท. กล่าวว่า จากภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องอยู่ในระดับ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ ปตท. ต้องปรับแผนการลงทุนทั้งในและต่างประเทศด้วยการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าการลงทุน คาดการทบทวนแผนลงทุนระยะ 5 ปี จะเสร็จภายในสิ้นปีนี้

สำหรับแผนการลงทุนระยะสั้น 1 ปี ปตท.เตรียมปรับลดงบประมาณลงทุนลง โดยจะพิจารณาปรับเปลี่ยนแผนให้มีความยืดหยุ่นตามทิศทางราคาน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงขึ้นลงตลอดเวลา เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ ส่วนแผนการลงทุนระยะกลาง 5 ปี และระยะยาว 20 ปี จะพิจารณาให้มีความชัดเจน