'ASP'มองหุ้นไตรมาส2/59สดใส คาดศก.สหรัฐฟื้น

'ASP'มองหุ้นไตรมาส2/59สดใส คาดศก.สหรัฐฟื้น

"ก้องเกียรติ" เผย ค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 0.16%ชนะอุตสาหกรรม ประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฟื้น ดันตลาดหุ้นช่วงไตรมาส 2/59 สดใส

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า บริษัทมีกลยุทธ์ปรับฐานรายได้ให้มีความมั่นคงมากขึ้น แม้ว่าบริษัทจะมีค่าคอมมิชชั่นนายหน้าซื้อขายหุ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 0.16% เหนือกว่าอุตสาหกรรมเฉลี่ยอยู่ที่ 0.12% แต่ในปัจจุบันพบว่าธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ มีการแข่งขันค่อนข้างสูง นักลงทุนมักเลือกใช้บริการโดยคำนึงราคามากกว่าคุณภาพ และบริษัทหลายแห่งต้องลงทุนด้านเทคโลโยลีเพิ่มสูงมาก บางบริษัทถึงประมาณ 100 ล้านบาท กดดันให้มาร์จิ้นอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งทำให้แนวโน้มธุรกิจโบรกเกอร์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเริ่มซบเซา ทำให้ในขณะนี้บริษัทฯ เริ่มหันมาเน้นการบริหารกองทุนส่วนบุคคล และการบริการเงินลูกค้ารายใหญ่มากขึ้น รวมถึงธุรกิจวาณิชธนกิจที่จะให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร ซึ่งบริษัทฯคาดว่าการที่ไม่มีบริษัทแม่เป็นธนาคารถือว่าไม่เป็นการผูกขาดด้านผลิตภัณฑ์ซึ่งจะเป็นจุดเด่นในการจูงใจลูกค้า 0.16% 0.12%

ทั้งนี้ ปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจโบรกเกอร์ 60% ธุรกิจบริหารกองทุน 15% ธุรกิจลงทุน 12% และธุรกิจวาณิชธนกิจ 12%

ปัจจุบันบริษัทฯมีดีลงานธุรกิจวาณิชธนกิจทั้งหมด 53 ดีล แบ่งเป็นการนำบริษัทเข้าจดทะเบียน 26 ดีล และเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน 27 ดีล โดยปีนี้จะมีบริษัทขนาดเล็กเข้าตลาดฯ แต่ยอมรับว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างน้อยสอดคล้องกับอุตสาหกรรม ส่วนปีหน้าคาดว่าจะมีบริษัทเข้าจดทะเบียนมากกว่า 10 บริษัท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการบริหารจัดการ

บริษัทฯมีแผนลงทุนหุ้นนอกตลาดเพิ่มเติม โดยอยู่ในธุรกิจประเภทฟินเทค โลจิสติกส์ และอีคอมเมิร์ซ แต่สัดส่วนการลงทุนถือว่าค่อนข้างน้อย เพราะธุรกิจที่ลงทุนส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่ยังใช้เวลาดำเนินการไม่มาก และยังมีความเสี่ยง ทั้งนี้บริษัทฯได้ลงทุนในหุ้นนอกตลาดช่วงที่ผ่านมาแล้วกว่า 3 บริษัท

สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2 คาดว่าจะมีทิศทางสดใส เนื่องจากคาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวและการขึ้นดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ จะชะลอออกไปก่อนซึ่งคาดหวังว่าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกจะอยู่ในระดับทรงตัวและโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้่งนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 13% ตั้งแต่ต้นปี เพราะได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันฟื้น และการประมูลคลื่นความถี่ 4G แล้วเสร็จ ทำให้หุ้นพลังงานและสื่อสารเป็นแรงผลักดันดัชนีฯ ที่สำคัญ ซึ่งหากดำเนินการได้เร็วจะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นค่อนข้างมาก

ส่วนกระแสเงินทุนต่างชาติขณะนี้ยังถือว่าไหลเข้าตลาดหุ้นไทยน้อยมาก เนื่องจากกองทุนต่างชาติรอจับตาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนให้มีความเด่นชัดมากขึ้น ซึ่งจะสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยปัจจุบันกองทุนสหรัฐฯ ยังขายหุ้นในประเทศตนเอง และโยกเงินเข้าไปในตลาดเงินมากขึ้น เพราะหุ้นสหรัฐฯ ยังอยู่ในช่วงราคาแพง

นอกจากนี้ปัจจัยที่ต้องจับตา คือ เรื่องข้อสรุปออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ ซึ่งขณะนี้ทิศทางการไม่ออกจากสหภาพยุโรปมีมากขึ้น โดยจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก อย่างไรก็ตามดัชนีตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะปรับตัวในกรอบจำกัด ซึ่งพฤติกรรมนักลงทุนจะเน้นซื้อขายเวียนกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ ได้แก่ พลังงาน สื่อสาร และธนาคารเป็นหลัก