เปิดวิธีดู 'หุ้นจบรอบ'
หลักทรัพย์บัวหลวง แนะวิธีดู “หุ้นจบรอบ”
หุ้นจบรอบแล้ว… ทำ New Low แล้ว New Low เล่า จะดูได้อย่างไร ? หลักทรัพย์บัวหลวง มีคำตอบมาฝาก
แน่นอนว่า เราไม่สามารถเห็นราคาหุ้นแล้วบอกได้ทันทีเลยว่า หุ้นตัวนี้จะลง เพราะต้องอาศัยข้อมูลหลายๆ สัญญาณประกอบกัน โดยเฉพาะสัญญาณที่บอกว่า หุ้นตัวนี้เริ่มเข้าสู่ขาลงแล้วจริงๆ ซึ่งประกอบไปด้วย 4 สัญญาณหลักดังต่อไปนี้ (เริ่มจากสัญญาณที่มีอนุภาพน้อยไปหามาก)
1. แท่งแทียน เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการซื้อขายหุ้นแบบระยะสั้น หรือ “Day Trade” มาดูกันว่า หากเกิดแท่งเทียนแบบไหนกันจะทำให้เขาเลือกที่จะลดพอร์ตการลงทุน!!
Bearish Shooting Star : จากแนวโน้มราคาที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้ ซึ่งเห็นได้ว่า มีแรงซื้อพยายามดันราคาให้ขึ้นไปต่อ แต่ก็มีแรงขายเข้ามามากจนกดดันราคาลงมาให้ปิดต่ำ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนทิศทาง
Bearish Harami : บอกถึงแรงซื้อที่เริ่มแผ่ว และแรงขายที่พยายามต้านไม่ให้ราคาไปต่อในวันที่สอง ราคาอาจปรับตัวลงได้ในวันถัด ๆ ไป
Bearish Engulfing : การเปิดสูงแต่ปิดต่ำของแท่งที่สอง บ่งบอกถึงแรงซื้อที่ไม่มีพลัง และแรงขายที่เข้ามาควบคุมเกม ให้ระวังการเปลี่ยนเป็นขาลง
Bearish Dark Cloud Cover (DCC) : มีแรงขายเข้ามาอย่างมีนัยยะสำคัญในวันที่สอง ตีความได้ว่า แรงซื้อถดถอย และอาจเปลี่ยนเป็นขาลงได้ (เป็นเพียงภาพระยะสั้น อย่าตื่นตระหนกถ้าภาพใหญ่ยังไม่เสีย)
2.หลุดเส้น “Trend Line” ชักเริ่มไม่ดีแน่!! เส้น “Trend Line” แบบนี้ เราจะลากเส้นต่อเมื่อดูหุ้น 2 แบบ คือ หุ้นขาขึ้น และ หุ้นขาลง
เส้น Uptrend จะตีที่ฐาน หรือที่ตูดของราคาหุ้นที่วิ่งยกตูดสูงไปเรื่อยๆ คือ อยู่ใน Trend ขาขึ้น แต่เมื่อไรที่มีสัญญาณไม่ดี คือ หลุดเส้น Trend Line ขาขึ้นนั้น เราจะเจอกับแรงขายกระชับพอร์ต
เส้น Downtrend ตีที่ยอด หรือที่หัวของราคาหุ้นที่พยายามยกหัวสูงขึ้น หุ้นที่เคลื่อนไหวใต้เส้นนี้ยังบ่งบอกได้ว่าหุ้นนั้นยังคงอยู่ในช่วงขาลง แต่เมื่อไรที่ราคาหุ้นเริ่มยืนเหนือเส้น Downtrend นั้น แสดงว่าแนวโน้มขาลงใกล้สิ้นสุดลง และถึงเวลาของแนวโน้มขาขึ้นกันแล้ว!!
3. Volume ปริมาณการซื้อขาย
ทุกครั้งที่มีการ Action กับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ไม่ว่าหุ้นวิ่งขึ้นขยับเหนือเส้น Downtrend มาได้ หรือวิ่งสวนทางหลุดเส้น Uptrend ลงมาแรง ทุกครั้งจะต้องมี Volume เป็นแรงสนับสนุน ดังวลีที่กล่าวว่า “Trend are confirmed by Volume” แนวโน้มที่เกิดขึ้นต้องยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขาย…
Volume เป็นสิ่งที่บอกว่า นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่กำลังคิดอะไรกันอยู่!! เพราะตามหลักการของ Technical Analysis หากช่วงเวลาใดที่มี Volume มากจะเป็นสิ่งยืนยันการเกิดแนวโน้มใหม่หรือจบแนวโน้มเดิม…
กรณีหุ้นขึ้น และ VOL. มาก ยิ่งดี เพราะ หุ้นจะขึ้นอย่างมีพลัง และมีโอกาสที่จะขึ้นต่อ
กรณีหุ้นลง และ VOL. มาก เช่นกัน แบบนี้เหนื่อยหน่อย!! เพราะแสดงถึงราคาลงอย่างมีพลัง และมีโอกาศที่จะลงต่อ…
4. หลุดเส้น Moving Average 200 วัน
การที่ราคาเคลื่อนไหวปรับตัวลงมาเรื่อยๆ อาจพบแรงซื้อกลับระหว่างทาง หรือ Rebound เพื่อลงต่อ หุ้นบางตัววิ่งลงจนราคาหลุด 200 วัน พร้อม Volume มาก แบบนี้ไม่ดีแน่ เป็นสัญญาณร้ายแรงอย่างมากที่จะยืนยันว่าหุ้นนี้จบรอบของจริง!!
ถ้าผ่านข้อ 1-3 ไปแล้ว คุณยังไม่ขาย ยังไม่คัต ไม่ Stop Loss พอเจอข้อนี้เข้าไปต้องรีบไป Stop Loss ทุกกรณี!! แต่ก็กลัวหุ้นจะเด้งทำยังไงดี ไม่แปลกที่ว่า เวลาราคาหุ้นลงแรงๆ แล้วจะมีแรงซื้อเข้ามาดีดตัวให้ราคาเด้งขึ้น แต่ให้สังเกตง่ายๆ คือ เด้งขึ้นมาแล้วจะยืนเหนือแนวรับที่เคยหลุด (200 วัน) ถ้าไม่ได้นั้น เป็นแค่การเด้งหลอกๆ แต่ถ้ายืนได้ให้ไปดูที่ Volume อีกครั้ง!!
ของถูกแบบนี้…ร่วงลงมาให้ซื้อหรือเปล่า ?
คนไม่มีหุ้นแนะนำว่า อย่าเพิ่งรีบเข้าไปรับหุ้น เพราะ อาจจะเจอของถูกกว่าได้ รอให้แรงขายชะลอตัวลง และประเมินทิศทางการเคลื่อนไหว จับจังหวะการเข้าซื้ออีกครั้ง
ช่วงที่ราคาหุ้นร่วงแรงจนหมดแรงขาย ราคาฟอร์มตัวอยู่แบบไร้ทิศทาง (Sideway) เคลื่อนไหวขึ้นลงสลับกันไป ไม่มีนัยสำคัญ และหุ้นราคาร่วงลงมาแรง ถ้านักลงทุนจะกลับไปลงทุนใหม่อีกครั้ง ก็ต้องมีแรงปัจจัยดึงดูดไม่ว่าจะเป็น งบการเงินดี บริษัท Turnaround จากขาดทุนสู่กำไร กำไรโต สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดสัญญาณทางเทคนิคว่า “BUY” พอถึงเวลานี้เริ่มวางแผนกันอีกครั้ง หาจุด Stoploss เพื่อป้องกันความเสี่ยงกันได้เลย!!
ในตลาดมีหุ้นมากมายหลายตัว การเลือกหุ้นดีถูกทางเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่การเลือกหุ้นแล้วผิดทาง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก “บทเรียน” นั้นจะมีค่ามาก หากเราได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง