“คอลลิเออร์ส” ชี้คอนโดลักชัวรียังโตสวนเศรษฐกิจชะลอ เหตุผลตอบแทน-อัตราการขายสูง “เอสซี แอสเสท” ลุยผุด 3 โครงการลักชัวรีหวังปิดโครงการปีหน้า ก่อนรุกตลาดพรีเมียม- แมสปลายปีนี้
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวว่า ตลาดคอนโดลักชัวรีเป็นเซกเมนต์ที่เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง มีสินค้าอยู่ในตลาดค่อนข้างน้อย รวมทั้งมีกลุ่มต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาจับจองเป็นเจ้าของ ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งซื้อเพื่ออยู่เอง และซื้อเพื่อการลงทุน โดยเฉพาะทำเล ในโซนลุมพินี (เพลินจิต ชิดลม หลังสวน) สุขุมวิท ที่มีกำลังซื้อสูง
โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมลักชัวรีระดับราคาต่อตร.ม .2.5 แสนบาท ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากให้ตอบแทนจากการลงทุนปล่อยเช่า4.5-5% และอัตราการปรับราคาจากการขายเฉลี่ย 5.5-6.5% ต่อปี ให้ผลตอบแทน 10% โดยในโซนลุมพินี มีอัตราการขายสูง 76% เนื่องจากเป็นทำเลที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต สภาพแวดล้อมดีสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อ ทำให้ในปีนี้ ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งจึงหันมาเปิดโครงการเพื่อเจาะกลุ่มลักชัวรี เพื่อเพิ่มรายได้
จากข้อมูลคอลลิเออร์ส ยังพบว่า อุปทานเปิดขายใหม่ คอนโดไฮเอนด์ในกรุงเทพมหานคร ในช่วงปี 2555 – ครึ่งแรกปี 2562 ประมาณ 13,650 ยูนิต จากอุปทานเปิดขายใหม่ของคอนโดทั้งหมดในกรุงเทพฯ 362,398 ยูนิต คิดเป็นเพียง 3.76% ของอุปทานคอนโดที่เปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ
นายประยงค์ยุทธ อิทธิรัตนชัย รองหัวหน้าคณะผู้บริการด้านพัฒนาทรัพสินแนวสูง บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการในกลุ่มลักชัวรี ลิมิเต็ด คอลเลคชั่น 3 โครงการว่า ประกอบด้วย 1.ศาลาแดงวัน มูลค่า 4,000ล้านบาท เหลือขาย1,400 ล้านบาท 2.บีทนิค สุขุมวิทมูลค่า 3,000 ล้านบาท เหลือขาย 2,000 ล้านบาท และทเวนตี้เอท ชิดลม (28 ชิดลม) มูลค่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของคอนโดในกลุ่มลิมิเต็ด ลักชัวรี คอลเลคชั่น บาย เอสซี แอสเสท บนทำเลรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีชิดลม ระยะห่าง 250 เมตร ใกล้เซ็นทรัลชิดลม
นายประยงค์ยุทธ กล่าวว่า ครึ่งปีหลังบริษัทจะหันเปิดตัวคอนโดอีก 2 โครงการ ได้แก่ คอนโด แชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น และ เดอะ เครสท์ พาร์ค เรสซิเดนซ์ 5 แยกลาดพร้าว เพื่อขยายฐานไปจับกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยม-แมส ในระดับราคาตั้งแต่ 1.2แสนบาทต่อตร.ม. -2.5แสนบาทต่อตร.ม.
เนื่องจากต้องการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นในช่วง3-5 ปีต่อจากนี้ เนื่องจากที่ดินในย่านใจกลางเมืองหายากขึ้น ซึ่งตามนโยบายบริษัทตั้งเป้าให้สัดส่วนรายได้จากอาคารสูงอยู่ที่ 1 ใน3 ส่วนแนวราบมีสัดส่วนอยู่ที่2ใน3 จากรายได้รวมของบริษัท นอกจากนี้จะมีรายได้มาจากการปล่อยเช่าและการทำโรงแรมไม่เกิน 10%