คะแนนโครงสร้างพื้นฐานร่วง กดอันดับขีดแข่งขันไทย
World Economic Forum (WEF) รายงานดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก (Global Competitiveness Index : GCI) ปี 2562 ประเทศไทยมีดัชนีความสามารถทางการแข่งขันอยู่ในอันดับที่ 40 ลดลง 2 อันดับจากปีก่อนหน้า
World Economic Forum (WEF) รายงานดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก (Global Competitiveness Index : GCI) ปี 2562 ประเทศไทยมีดัชนีความสามารถทางการแข่งขันอยู่ในอันดับที่ 40 ลดลงจากปี 2561 ที่อยู่ในอันดับที่ 38 จากทั้งหมด 141 ประเทศ ซึ่งการที่ไทยหล่นลงมาอยู่อันดับที่ 40 เป็นอันดับที่เท่ากับปี 2561
นายวิเลิศ ภูริวัชร คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า การจัดอันดับของ WEF แบ่งตัวชี้วัดออกเป็น 4 มิติ โดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ได้เข้าไปวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของประเทศไทยในปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับปีก่อนรายมิติพบว่า
- มิติที่ 1 สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย (Enabling Environment)
ประเทศไทยได้คะแนน 273 คะแนน จากคะแนนเต็ม 400 คะแนน ซึ่งในด้านสภาพแวดล้อมหน่วยงาน (Institutions) ของไทยได้คะแนนลดลงจาก 55.1 เป็น 54.8 โดยอันดับด้านนี้ลดลงจาก 60 เป็น 67 แต่ก็ยังอยู่ในระดับกลางเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) คะแนนของประเทศไทยลดลงจาก 69.7 เป็น 67.8 โดยอันดับตกจาก 60 เป็น 71 ซึ่งประเทศไทยทำได้ดีในเรื่องการเข้าถึงไฟฟ้าและการเชื่อมต่อของสนามบิน
ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้อันดับของประเทศไทยด้านโครงสร้างพื้นฐานแย่ลง เกิดจากความหนาแน่นของระบบทางรถไฟ และความมีประสิทธิภาพของการให้บริการรถไฟ
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้คะแนนดีขึ้นในส่วนของอัตราการเกิดอาชญากรรมและข้อกำหนดเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน ในส่วนของด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT Adoption) คะแนนดีขึ้นจาก 56.6 เป็น 60.1 อันดับขึ้นจาก 64 เป็น 62
ประเทศไทยได้คะแนนในระดับ “ดีมาก” ในด้านการใช้โทรศัพท์มือถือ ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic Stability) คะแนนดีขึ้นเล็กน้อยจาก 89.9 เป็น 90 โดยอันดับขึ้นจาก 48 เป็น 43 เนื่องจากเราควบคุมระดับเงินเฟ้อได้ดี
- มิติที่ 2 ทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital)
ไทยได้คะแนน 151 คะแนน จากคะแนนเต็ม 200 คะแนน มาจากตัวชี้วัดด้านสาธารณสุข (Health) ซึ่งได้คะแนนดีขึ้นจาก 87.3 เป็น 88.9 โดยอันดับขึ้นจาก 42 เป็น 38
ตัวชี้วัดด้านทักษะ (Skills) คะแนนลดลงจาก 63 เป็น 62.3 โดยอันดับลดลงจาก 66 เป็น 73 แต่ก็ยังอยู่ในระดับกลางเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน สาเหตุหลักที่ทำให้อันดับของประเทศไทยทางด้านทักษะลดลงเกิดจากทักษะของผู้สำเร็จการศึกษาแย่ลง และการสอนให้คิดเชิงวิพากษ์ที่ยังทำได้ไม่ดีนัก
- มิติที่ 3 ตลาด (Markets)
ไทยได้คะแนน 277 คะแนนจาก 400 คะแนน โดยด้านการแข่งขันภายในประเทศ (Product Market) ซึ่งใช้เป็นตัวชี้วัดว่า ในแต่ละประเทศมีการดำเนินนโยบายที่ทำให้การแข่งขันในตลาดมีความผิดเพี้ยนไปเพียงใดและเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนใดหรือไม่นั้น ประเทศไทยมีคะแนนใกล้เคียงเดิม คือ จาก 53.4 เป็น 53.5 แต่อันดับดีขึ้นมากจาก 92 เป็น 84
ด้านตลาดแรงงาน (Labor Market) มีคะแนนใกล้เคียงเดิมเช่นกัน คือ จาก 63.3 เป็น 63.4 และอันดับลดลงจาก 44 เป็น 46 แต่ในทางกลับกันกับประเทศเพื่อนบ้านที่กลายเป็นจุดเด่นของเวียดนาม ลาวและบรูไนที่มีการเติบโตสูงมากเมื่อเทียบกับปี 2018
ด้านระบบการเงิน (Financial System) มีคะแนนสูงขึ้น คือ จาก 84.2 เป็น 85.1 โดยอันดับตกลงเล็กน้อยจาก 14 เป็น 16 แต่อย่างไรก็ต้องถือว่า ระบบตลาดเงินตลาดทุนของเรามีความพร้อมค่อนข้างมาก มีการพัฒนาที่ดีมาโดยตลอด และเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ด้านขนาดของตลาด (Market Size) มีคะแนนสูงขึ้น คือ จาก 74.9 เป็น 75.5 โดยเป็นอันดับที่ 18 คงที่จากปีที่แล้ว
- มิติที่ 4 ระบบนิเวศของนวัตกรรม (Innovation Ecosystem)
ไทยได้คะแนน 116 คะแนน จาก 200 คะแนน โดยด้านการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ (Business Dynamism) มีคะแนนสูงขึ้น คือ จาก 71 เป็น 72 อันดับสูงขึ้น จาก 23 เป็น 21 เนื่องจากความคล่องตัวของธุรกิจในประเทศไทยดีขึ้นจากทั้งเงื่อนไขต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจที่ดีขึ้น และแนวคิดการเป็นผู้ประกอบการที่มากขึ้น
ส่วนด้านความสามารถทางนวัตกรรม (Innovation Capability) มีคะแนนสูงขึ้น คือ จาก 42.1 เป็น 43.9 อันดับสูงขึ้นจาก 51 เป็น 50 โดยความสามารถด้านนวัตกรรมดีขึ้นจากปัจจัยทุกด้าน ทั้งการสร้างความร่วมมือในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ การวิจัยและพัฒนา รวมถึงการนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงพาณิชย์
ตัวเลขดัชนีชี้วัดดังกล่าวในปีนี้คงเป็นผลสะท้อนจากการพัฒนาประเทศไทยในปีที่ผ่านมา แต่บทสรุปของดัชนีต่างๆ คงไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขว่า เพิ่มขึ้นหรือน้อยลงเพียงเท่านั้น เนื่องจากความสามารถทางการแข่งขันในเวทีโลกที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เกิดจากการพัฒนาประเทศตามลำพัง แต่เกิดจากความสามารถในเชิงเปรียบเทียบกับการพัฒนาของประเทศอื่นๆ อีกด้วย แม้ว่า ระดับความสามารถของประเทศเพิ่มขึ้น แต่บริบทของเศรษฐกิจโลกก้าวพัฒนาไปมากกว่า จึงต้องอาศัยกลยุทธ์การพัฒนาที่เหนือกว่าประเทศคู่แข่งขันเป็นสำคัญ
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการวิเคราะห์ตัวชี้วัดทั้งหมดจากผลข้อมูลจากองค์กร WEF พบว่า หากมีการเร่งพัฒนาในเรื่องของการลดการทุจริต ปรับปรุงคุณภาพของโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาทักษะของคนในประเทศ และมีนโยบายที่ช่วยลดช่องว่างในการแข่งขันของตลาดภายในประเทศ ซึ่งเป็นดัชนีที่มีค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักมาก แต่ประเทศไทยเรายังทำได้ไม่ดีนัก และถ้าหากมีการปรับปรุงในส่วนนี้ได้ก็จะสามารถทำให้ประเทศไทยมีอันดับการแข่งขันที่ดีขึ้นมากได้
ในขณะที่ การพัฒนาในเรื่องการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และการมีสุขภาพดีอายุที่ยืนยาวของคนในประเทศ ซึ่งเป็นดัชนีที่มีค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักมาก และประเทศไทยทำได้ดีอยู่แล้ว รวมทั้งสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นต่อไปได้ง่าย ก็จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศไทยได้อย่างก้าวกระโดด และส่งผลต่อการพัฒนาประเทศให้อยู่ในอันดับที่สูงขึ้นต่อไปได้