6 โรงกลั่นจี้รัฐ ออกมาตรการ จูงใจยกเครื่องน้ำมันสู่ยูโร 5
6โรงกลั่นน้ำมัน กระตุ้นรัฐออกมาตรการจูงใจ ก่อนลุยยกเครื่องผลิตน้ำมันตามมาตรฐาน ยูโร 5 เล็งเจรจารัฐปีหน้าดันลดสำรองน้ำมันดิบตามกฎหมาย
แหล่งข่าววงการธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน เปิดเผยว่า ขณะนี้ โรงกลั่นน้ำมันทั้ง 6 แห่งในประเทศ คือไทยออยล์ บางจาก พีทีทีจีซี เอสโซ่ ไออาร์พีซี และเอสพีอาร์ซี กำลังรอติดตามมาตรการจูงใจจากภาครัฐ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเร่งปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมัน ให้ได้มาตรฐานน้ำมันยูโร 5 ที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค. 2567
แม้ปัจจุบันภาครัฐจะยกเว้นภาษีนำเข้า ผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แต่ยังไม่จูงใจมากพอ เนื่องจากการปรับปรุงต้องใช้เงินสูงหลักหลายหมื่นล้านบาท มากน้อยแตกต่างกันไป และภาระบางส่วนอาจจะต้องส่งผ่านไปยังผู้บริโภคด้วย
อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าผู้ประกอบการโรงกลั่นทุกแห่งในประเทศ พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันให้ได้ตามที่กฎหมายกำหนด จะเห็นได้การปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันเดิมจากมาตรฐานยูโร 3 เป็น มาตรฐานยูโร 4 ัที่ใช้งบประมาณมากกว่าเมื่อเทียบกับการปรับไปสู่มาตรฐาน ยูโร 5 ซึ่งรัฐบาลต้องมีมาตรการสนับสนุนที่ชัดเจน เพื่อเริ่มกระบวนการเตรียมความไปสู่การเปลี่ยนผ่านคุณภาพน้ำมันได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ การปรับลดปริมาณสำรองน้ำมันตามกฎหมาย ที่ปัจจุบันกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมัน(กลุ่มโรงกลั่น)ต้องเก็บสำรองน้ำมันดิบ 6% ปริมาณการจำหน่าย และผู้ค้ามาตรา 7 ต้องสำรองน้ำมันสำเร็จรูป 1% ของการจำหน่ายนั้น ทางผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมัน ยังยืนยันในหลักการเดิม คือ ควรปรับลดปริมาณสำรองน้ำมันดิบลง และมีแผนที่จะเข้าหารือกับภาครัฐในปีหน้า เนื่องจากมองว่า สถานการณ์การจัดหาน้ำมันต่างไปจากอดีตที่ต้องพึ่งพาน้ำมันดิบจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเป็นหลักและรัฐไม่จำเป็นต้องยึดติดกับกรณีเกิดเหตุการณ์ต่างๆที่จะนำไปสู่การปิดช่องแคบฮอร์มุซ จนกระทบต่อการขนส่งน้ำมันป้อนเข้ามายังประเทศไทยเพราะปัจจุบัน แหล่งผลิตน้ำมันดิบมีมากขึ้น และโรงกลั่นในประเทศสามารถรองรับชนิดน้ำมันที่หลากหลาย ซึ่งในปีหน้าจะเห็นการจัดซื้อน้ำมันในแถบประเทศอื่นๆ ทดแทนจากจัดซื้อจากแถบตะวันออกกลางชัดเจนขึ้น
ทั้งนี้ ก่อนหน้าบริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) หรือ TOP ได้ประกาศ ก่อสร้างหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ (CDU) ใหม่ 2.2 แสนบาร์เรลต่อวัน จะสามารถกลั่นน้ำมันได้ตามมาตรฐานยูโร 5 ได้เลย แต่ในส่วนของน้ำมันที่เหลือซึ่งกลั่นจากหน่วย CDU เดิมจะต้องเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงเพื่อให้ได้น้ำมันตามมาตรฐานยูโร 5 โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 1 พันล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566