หุ้นปีหน้าส่อ ‘ผันผวน’ หนัก กูรูเตือนรับมือลงทุน ดัชนีเสี่ยงทำ ‘นิวโลว์’
โบรก ฟันธงหุ้นไทยปีหน้า “ผันผวน” เหตุศก.โลกชะลอ สงครามการค้ากดดัน “ฟินันเซีย ไซรัส” แนะตั้งรับลงทุนหุ้นพื้นฐานดี “บล.กสิกร” ชี้ดัชนีมีโอกาสทำจุดต่ำสุดใหม่ เน้นหุ้นรับประโยชน์สังคมสูงวัย “หยวนต้า” เชียร์หุ้นส่งออก ขณะ "เอเชียพลัส" ชี้ทุนนอกยังไม่กลับ
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจจัดสัมนา "ส่องหุ้นไทยครึ่งปีหลัง ฟุบ หรือไปต่อ...รับปี2020" โดยช่วง "เบญจภาคี 5 หุ้นเด็ดรับปี 2020" ได้กูรูด้านตลาดทุนให้มุมมองทิศทางดัชนีฯและหุ้นเด่นปีหน้า
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้ามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจาก มาตการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ แต่ยังมีปัจจัยกดดันเรื่องสงครามการค้า (เทรดวอร์) ที่มีความยืดเยื้อและขยายไปยังประเทศอื่นมากขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวน โดยมองกรอบดัชนีอยู่ที่ 1,550-1,680 จุด
ทั้งนี้จึงแนะนำลงทุนในหุ้นที่เหมาะกับภาวะตลาดผันผวน โดยเน้น หุ้นพื้นฐานดี แนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโต คือ
1.บมจ. เอสไอเอสบี (SISB ) เพราะ ปีหน้าจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น 200 คน และไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ไม่ได้รับผลกระทบ และจากที่บริษัทได้เงินจากการเสนอขายหุ้นไอพีโอ นำไปชำระคืนนี้ ทำให้สามารถเริ่มจ่ายเงินปันผลได้ โดย SISB มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40 % ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 10.90 บาทต่อหุ้น
2.บมจ.แอพพลิแคด (APP ) จากประเมินกำไรสุทธิปีหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 71 ล้านบาท จากปีนี้คาดว่าอยู่ที่ 57 ล้านบาท และราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ราคาไอพีโอแล้ว ให้ราคาเหมาะสมที่ 4.04 บาทต่อหุ้น 3.บมจ. บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) เพราะจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มค่ารักษาพยาบาลกลุ่มประกันสังคมในปีหน้า และราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลดลงมาพอสควร จึงเป็นโอกาสเข้าลงทุนระยะสั้น เก็งข่าวดี ให้ราคาเหมาะสมที่ 22 บาทต่อหุ้น
4. บมจ.ซีพี ออลล์ ( CPALL ) จากที่มีการกระจายฐานธุรกิจต่อเนื่องและกำไรปีหน้ายังเติบโตเป็นไปตามคาด ให้ราคาเหมาะสมที่ 97 บาทต่อหุ้น และ 5.บมจ. แพลน บี มีเดีย(PLANB ) เพราะ คาดว่ากำไรจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดปีหน้ากำไรอยู่ที่ 720 ล้านบาท จากปีนี้คาดอยู่ที่ 643 ล้านบาท ให้ราคาเหมาะสมที่ 10.20 บาท
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ ประธานสายธุรกิจรายย่อย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดเศรษฐกิจโลกปีหน้ามีทิศทางปรับตัวดีขึ้น จากตัวเลขการค้าโลกที่มีทิศทางฟื้นตัว ซึ่ง PMI ภาคการผลิตของจีนปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ แต่ยังถูกกดดันจากประเด็นเทรดวอร์ ทำให้ดัชนีหุ้นไทยไซด์เวย์ในกรอบ 1,500-1,700 จุด
ทั้งนี้จากทิศทางตลาดหุ้นที่มีความผันผวนนั้น แนะนำ ลงทุนหุ้นปันผลดี เช่น
1.ธนาคารไทยพาณิชย์ ( SCB) ให้ปันผลที่สูงถึง 5.1% ให้ราคาเหมาะสมที่ 155 บาทต่อหุ้น และหุ้น
2. บมจ. ศุภาลัย (SPALI ) ปันผลระดับ6-7% ให้ราคาเหมาะสมที่ 20.30 บาทต่อหุ้น
3.บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (DELTA ) เพราะ คาดว่าค่าเงินบาทปีหน้าทรงตัว ทิศทางการส่งออกปีหน้าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีนี้ ที่คาดติดลบ ส่งผลดีกับผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ปันผลสูงระดับ 4 % โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 53.75 บาทต่อหุ้น
4.บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF ) ได้ประโยชน์จากส่งออกที่จะฟื้นตัว และราคาหมูปรับตัวสูงขึ้น ทั้งในจีนและเวียดนาม รวมถึงราคาไก่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังจ่ายเงินปันผลที่สูงระดับ 3 % โดยให้ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 39 บาทต่อหุ้น และ
5. บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) เพราะ ให้ปันผลที่สูง4.5 % ให้ราคาเหมาะสมที่ 260 บาทต่อหุ้น
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปีหน้ามีโอกาสปรับตัวลดลงทำสถิติต่ำสุดใหม่ (นิวโลว์) ที่ 1,450 จุด เนื่องจาก ทิศทางกำไรของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวลดลงปีนี้ ส่งผลให้ปรับลดกำไรต่อหุ้น ( EPS)ปีหน้าเหลือ 103 บาท ขณะที่ P/E สูง และ่คาดว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะชะลอตัว จากเทรดวอร์ที่มีความยือเยื้อ และคาดว่าตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วจะมีการปรับตัวลดลงจาก ปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งจะกระทบกับตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ ทำให้ตลาดหุ้นไทยก็จะได้รับผลกระทบปรับตัวลดลงเช่นกัน แต่เชื่อว่าไม่มาก เพราะ ปีนี้ปรับตัวลดลงไปแล้วส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,700 จุด
สำหรับ ธีมการลงทุนปีหน้า คือ 1. บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS ) เนื่องจากประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย 2. บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) 3. บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT ) เพราะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น 4. CPALL มีทิศทางเติบโตที่ดี มีจุดแข็งเป็นผู้นำด้านการขนส่งในประเทศไทย และ 5.ADVANC
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยปีหน้าคาดว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มาก เพราะกำไรบจ.ทิศทางปรับตัวลดลง โดยปรับลด EPS เหลือ 95 บาทต่อหุ้น จาก เดิมที่คาด 105บาทต่อหุ้น ขณะที่ค่า P/Eของตลาดสูงขึ้น จากที่มีหุ้นไอพีโอ เขามาจดทะเบียนแล้วมีการตั้งราคาขายที่สูง ขณะที่เม็ดเงินต่างชาติยังไม่ไหลกลับมาลงทุน จากที่มีความเสี่ยงจากค่าเงินบาทของไทยยังคงแข็งค่า ขณะที่ MSCI มีการปรับน้ำหนักตลาดหุ้นจีนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยมองกรอบดัชนีที่ 1,579-1,674 จุด
สำหรับ หุ้นแนะนำลงทุนปีหน้า 1. BCH ได้ประโยชน์จากการปรับเพิ่มค่ารักษาพยาบาลกลุ่มประกันสังคม และปีหน้าคาดว่ากำไรเติบโตเพิ่มขึ้น ให้ราคาเหมาะสมที่ 21.10 บาทต่อหุ้น 2.บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) จากที่ได้ประโยชน์นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ให้ราคาเหมาะสมที่ 7.50 บาทต่อหุ้น 3. ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) เพราะผลการดำเนินงานไตรมาส4ปีนี้ จะปรับตัวดีขึ้น จากรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมในการนำหุ้นไอพีโอ ขนาดใหญ่ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ สินเชื่อพอร์ตเช่าซื้อโตรวมถึงจ่ายเงินปันผลที่สูง 6.5-6.6 % ให้ราคาเหมาะสมที่ 79.50 บาทต่อหุ้น
4.บมจ. เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR)ผลการดำเนินงานยังเติบโต จากจำนวนประชาชนยังคงชมภาพยนตร์ ยังดีอยู่ ขณะที่ปันผลสูงระดับ 5 % ให้ราคาเหมาะสมที่32 บาทต่อหุ้น 5. บมจ. อาร์เอส (RS )ให้ราคาเหมาะสมที่15.70 บาทต่อหุ้น จากผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น โดยคาดกำไรปีหน้าอยู่ที่ 540 ล้านบาท จากปีนี้คาดอยู่ที่ 400 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการเจรจาร่วมเป็นพันธมิตรกับช่องทีวีดิจิทัลเพิ่มอีก 2ช่อง จากปัจจุบันที่มีจำนวน3 ช่อง ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้า เป้าหมายได้ถึง 40 ล้านคน ในการจำหน่ายสินค้า และราคาหุ้นได้มีการปรับตัวลดลงมาพอสมควรแล้วทำให้มีโอกาสปรับตัวลงอีกจำกัด