ซีอีโอ“ออริจิ้น”รุกนิวแชฟเตอร์ สานเป้า“ท็อปทรี”อสังหาฯใน 3 ปี
หนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่เติบโตเร็วในรอบ 1 ทศวรรษ ต้องมีชื่อของ “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ที่กุมบังเหียนธุรกิจโดยซีอีโอหนุ่มหน้าหยก “พีระพงศ์ จรูญเอก” ล่าสุดยังคว้ารางวัล“ผู้บริหารสูงสุดรุ่นใหม่ยอดเยี่ยม” จากตลาดหลักทรัพย์ มาการันตี
ทว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ พีระพงศ์ให้สัมภาษณ์พิเศษ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาหลายระลอกนับตั้งแต่ตัดสินใจทำธุรกิจอสังหาฯ ช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ หรือ วิกฤติซับไพรม์ ในช่วงปี 2552 เริ่มจากโครงการคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าแบริ่ง จากนั้นพัฒนาโครงการปีละ 1-2 โครงการ จนทำให้จำนวนและมูลค่าโครงการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
“เราประสบความสำเร็จทำคอนโดปีละ1,200ล้านบาทถือว่าเยอะมากแล้วสำหรับบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ต้องตัดสินใจว่าจะหยุดหรือว่าจะไปต่อเพราะการเป็นรายใหญ่ รายกลางนอกตลาดไม่มั่นคง หากเศรษฐกิจไม่ดีจะโดนกระทบแรง ผิดกับรายเล็กที่สามารถชกแล้วถอยฉากได้” พีระพงศ์ เล่า
หนทางจะไปต่อคือต้องสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ให้กับองค์กรด้วยการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ปี 2558 ผลักดันให้ยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 2,055 ล้านบาทในปี 2558 เป็น 16,637 ล้านบาทในปี 2561 กำไรจาก 386 ล้านบาทในปี 2558 เป็น 3 ,337 ล้านบาทในปี 2561 และทำกำไร 2,145 ล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ สวนทางสภาพเศรษฐกิจและตลาดอสังหาฯที่อยู่ในภาวะขาลง
พีระพงศ์ ยังบอกด้วยว่า ปัจจุบันออริจิ้นฯอยู่ในตลาดหลักทรัพย์มา4 ปี ขณะที่ปีนี้เข้าสู่ปีที่10 ปีของการดำเนินธุรกิจ โดยเขายอมรับว่า “จุดเปลี่ยน”สำคัญ ที่ทำให้แบรนด์ออริจิ้นเป็นที่ยอมรับ เกิดจากการขยายโครงการช่วง4 ปีที่ผ่านมาจำนวนมาก ยกตัวอย่าง การเทกโอเวอร์ บริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด ของตระกูล ‘ลิปตพัลลภ’ และขยายแบรนด์ “พาร์ค ออริจิ้น” ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าในตลาดบนและตลาดต่างชาติ ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น
รวมไปถึงการได้พันธมิตร “กลุ่มโนมูระ” จากญี่ปุ่นเข้ามาเป็นผู้ร่วมทุนพัฒนาคอนโดและโรงแรมเพื่อกระจายความเสี่ยง ปัจจุบันออริจิ้นร่วมโครงการ กับโนมูระ เรียลเอสเตท จำนวน 9 โครงการ มูลค่ารวม 3 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีสินทรัพย์ทั้งหมดประมาณ 3 หมื่นล้านบาททะยานขึ้นถึง 5 เท่า กำไรก็เติบโต 5 เท่าเช่นกัน ส่งผลให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯติด ‘ท็อปไฟว์’ ที่ทำทั้งคอนโด บ้านจัดสรร
“วันนี้เราชนะในธุรกิจคอนโดแล้ว โดยทำยอดขายเป็นอันดับหนึ่งในปีที่แล้วและปีนี้ คิดเป็นยอดขายคอนโดรวมปีละ 3หมื่นล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 15% ของคอนโดในกรุงเทพฯและปริมณฑลที่มีมูลค่า 2 แสนล้านบาท”
นอกจากนี้ ยังได้ขยายอาณาจักรออริจิ้นฯ ครอบคลุมทุกพื้นที่ จากเดิมทำเฉพาะส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ขยายไปทำกลางเมือง ในกรุงเทพฯปริมณฑลในทุกสายทุกสี มีโครงการคอนโดจำนวน 60 โครงการ บ้านจัดสรร10 โครงการ รวมทั้งสิ้น 70โครงการ รวมถึงการขยายไปในโซนอีอีซี (ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก) ซึ่งมูลค่ารวมการทำโครงการตั้งอดีตจนถึงปัจจุบันในช่วง10ปีที่ผ่านมาเกินกว่า 1แสนล้านบาท ซึ่งสเกลที่เกินกว่า 1 แสนล้านบาทมีเพียงแค่ 10 บริษัทเท่านั้น ในตลาดอสังหาฯไทย
“ผลงานช่วง10ปีที่ผ่านมาถือว่าเกินเป้าหมาย เราไม่ได้มีฝันใหญ่มาก ฝันแต่พอดีแต่ว่าขยันและพยายาม ทำงานไวพอมีเป้าหมายปุ๊ปก็ขยายฝัน ขยายเป้าหมายให้ใหญ่ขึ้น ช่วง10 ปีที่ผ่านมาเราขยายโรดแมพไม่ต่ำกว่า5-6 ครั้ง ทำให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น”
ขณะที่แชฟเตอร์ต่อไปของออริจิ้น ในการก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 พีระพงศ์ ระบุว่า จะเร่งขยายในส่วนของโปรดักท์ เซอร์วิสใหม่ๆ นอกจากคอนโดเนื่องจากต้องการสร้างความมั่นคงให้กับองค์กร ด้วยการขยายตัวธุรกิจไปยังธุรกิจโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ อาคารสำนักงาน คอมเมอร์เชียล รีเทล ที่ผ่านมาได้ขยายไว้บ้างแล้ว ยกตัวอย่าง ธุรกิจโรงแรมมีแผนที่สร้างโรงแรมขนาดใหญ่ 10 แห่งจำนวน3,000 ห้อง ปีนี้สร้างเสร็จ2 แห่งจำนวน600กว่าห้อง
“จากนี้ไปเราจะขยายทุกธุรกิจที่มีอยู่ให้ได้สเกล ถ้าเป็นไปได้เราอยากจะเป็นเลิศในทุกๆธุรกิจที่ขยายไป ไม่ว่าจะเป็นบ้านจัดสรร โรงแรม ออฟฟิศ สำนักงานให้เช่า รีเทล เรากำลังมุ่งมั่นเพื่อสร้างประสบการณ์ในการอยู่อาศัยที่ดีให้กับลูกค้าจากการทำธุรกิจบริการ ในรูปแบบของพร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ อาทิ บริการปล่อยเช่า เซอร์วิสออนดีมานด์ดูแลบ้านให้กับลูกค้า ”
ปัจจุบันออริจิ้นฯมีโครงการประมาณ70 โครงการทั้งบ้านจัดสรรและคอนโด โรงแรมอีก10 โครงการ ที่ดำเนินการอยู่ โดยสามารถ“ซินเนอร์จี ”(Synergy) กับใครก็ได้เพราะซัพพลายเชนหรือแวลลูเชนที่ทำสามารถขยายตัวได้รวดเร็ว จึงไม่น่าแปลกใจที่ ซีอีโอออริจิ้น จะตั้งเป้าหมายว่าจะก้าวสู่ “ท็อป ทรี ”ในวงการอสังหาฯ ภายใน 3 ปี และทศวรรษถัดไปหรืออีก10ปีข้างหน้าของออริจิ้น จะขยายตัวในธุรกิจที่เกี่ยวข้องทางด้านธุรกิจสังหาริมทรัพย์ให้ครบวงจร
“ผมพอใจกับผลงานที่ผ่านมา แม้จะย้อนเวลากลับไปก็ยังคงทำเหมือนเดิมอยู่ ไม่ได้คิดว่าจะต้องไปแก้ไขอะไร แต่ก็ไม่ได้หลงตัวเอง คิดว่าพอแล้ว ส่วนตัวเป็นแพลนเนอร์ที่ดี ใช้ทรัพยากรน้อย ต้นทุนต่ำ แต่ก็สามารถก้าวไปสู่เป้าหมายได้เร็ว และถ้าจะให้คะแนนตัวตัวเองคงให้เกรด B เพราะยังมองว่ายังทำได้มากกว่านี้อีก ยังไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม ”