กูรูหุ้น & ขาใหญ่ เปิดสูตร 'รอด' 6 เดือนแรก 'โอกาสทอง'..!!

กูรูหุ้น & ขาใหญ่ เปิดสูตร 'รอด' 6 เดือนแรก 'โอกาสทอง'..!!

เปิดคำวิพากษ์ SET INDEX ปีชวด ผ่าน“กูรู & ขาใหญ่” ลุ้นโอกาสทอง 6 เดือนแรก ผ่าน“3 ปัจจัยบวก” หลังปัญหานอกบ้านเริ่มคลี่คลายเปลี่ยนทิศตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว แนะธีมลงทุนเลือกหุ้น ตามเทรนด์โลก-สินค้าผู้บริโภคต้องการ

หากเอ่ยถึง SET INDEX ในรอบปี 2562 นิยามการลงทุนคงเต็มไปด้วย ความกลัว! ของเหล่านักลงทุน สะท้อนผ่านสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยที่หายไป หลังบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นปกคลุมไปด้วยความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มเห็นสัญญาณเข้าสู่ภาวะ ถอดถอย” (Recession) นับจากประเด็นเรื่อง สงครามการค้า” (Trade War) ระหว่างประเทศจีน–สหรัฐ ที่มีความไม่ชัดเจนนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2561 เป็นต้นมา และลากยาวเกือบหมดปี 2562

ปฏิกิริยาแรกตลาดหุ้นไทยตอบรับทันที สะท้อนผ่านดัชนีตลาดหุ้นไทยในรอบปีที่ผ่านมาตกอยู่ในอาการ ย่ำอยู่กับที่ ไม่ไปไหน โดยต้นปีดัชนี SET Index อยู่ที่ 1,565.94 จุด (2 ม.ค.2562) ปรับตัวขึ้นมา สูงสุด” (New High) 1,740.91 จุด (1 ก.ค.2562) และปรับตัวลงมา ต่ำสุด 1,548.37 จุด 9 ธ.ค.2562) ประกอบกับตัวเลข นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิหุ้นไทย “36,700 ล้านบาท

สอดคล้องกับ ผลตอบแทนลงทุน” (Return) ของปี 2562 ตลาดหุ้นไทย บวกเล็กน้อย (กรณีไม่รวมเงินปันผล) สวนทางกับ ตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว” (Developed Market) ที่ปีนี้สร้างผลตอบแทนเติบโตในระดับตัวเลข สองหลัก” ถ้วนหน้า อย่าง ตลาดหุ้นสหรัฐ ผลตอบแทน 20% , ตลาดหุ้นยุโรป 22% , ตลาดหุ้นญี่ปุ่น 17% ขณะที่ ตลาดหุ้นใหญ่ของเอเชีย ผลตอบแทนเติบโต อย่าง ตลาดหุ้นจีน 20% ตลาดหุ้นไต้หวัน 22% ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ 6% ตลาดอินเดีย 13% เป็นต้น

ทว่า ตลาดหุ้นเกิดใหม่” (Emerging Markets) โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียน ในปีนี้สร้างผลตอบแทนผิดหวัง ไม่เติบโตหรือถึงติดลบ ไล่มาอย่าง ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ผลตอบแทน 0% ตลาดหุ้นมาเลเซีย -7% ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์บวก 5% และตลาดหุ้นไทย 0%

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะในประเด็นสงครามการค้า ซึ่งเป็นไปตามทิศทางของภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีความกังวลเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นการออกมาส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวของเหล่า กูรู หลายสำนัก !

อย่าง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” (IMF) เผยรายงานประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ หรือ World Economic Outlook (WEO) ทำนายว่า เศรษฐกิจโลกปี 2562 อยู่ในทิศทางการขยายตัวช้าที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินครั้งก่อนเมื่อปี 2552 สืบเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง พร้อมปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลงเหลือแค่ 3% ในปีนี้ และ 3.4% ในปี 2563 จากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้าที่ระดับ 3.3% และ 3.6% ตามลำดับ

โดย กองทุน IMF”  ปรับลดคาดการณ์การเติบโต ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี” ไทย ลงมาอยู่ที่ 2.9% ในปี 2562 และ 3% ในปี 2563 จากปีที่แล้วที่โต 4.1% สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของปัจจัยทั้งในและนอกประเทศ

ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ รายงานตัวเลขส่งออก (Export) และนำเข้า (Import) เดือนพ.ย. ที่ผ่านมา หดตัว มากกว่าตลาดคาดที่ 7.4% (มากสุดในรอบ 43 เดือน) และ 13.7% ตามลำดับ (คาด -4 และ -6.6%) ทำให้ 11 เดือน ปี 2562 หดตัว 2.77% และ 5.2% ตามลำดับ ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นปัจจัยกดดันต่อภาคการผลิตและการจ้างงานในปี 2563

ทว่า ปัจจัยลบที่รุมเร้าการเติบโตของเศรษฐกิจตลอดปี 2562 ในปี 2563 ปัญหาเริ่มคลี่คลายลง โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าเนื่องจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งยืดเยื้อมานานเริ่มบรรลุข้อตกลงอะไรกันได้บ้างแล้ว ภาคธุรกิจที่เคยชะลอการผลิตหรือหยุดการลงทุนต่างๆ น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ภาคการผลิตและภาคการส่งออกจึงมีโอกาสที่จะผ่าน จุดต่ำสุด ไปแล้ว

สุกิจ อุดมศิริกุล” กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ (SCBS) วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทย ปี 2563 ให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” โดยเขาประเมินว่าในช่วง 6 เดือนแรกปี 2563 จะเป็น โอกาสทอง” ของนักลงทุนที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้ ! แต่หากหุ้นไม่ขึ้น แปลว่าอาจจะมีปัญหาแล้ว

สำหรับประเด็นที่เชื่อว่าอาจจะเข้ามา ปลดล็อค” (Unlocker) ดัชนี SET INDEX มีโอกาสปรับตัวขึ้นด้วย 3 ปัจจัยหลัก คือ ข้อแรก นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน มองว่ายังทำต่อเนื่อง ผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ของทั้งสหรัฐ และสหภาพยุโรปอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาเสถียรภาพโดยรวมของเศรษฐกิจ ทั้งในแง่เสถียรภาพด้านการเงินและการกระตุ้นด้านอุปสงค์เพื่อให้เกิดการจ้างงานและให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวได้

157759468933

**สุกิจ อุดมศิริกุล

มองว่านโยบายทางการเงินจะเป็นเครื่องยนต์ประคับประคองเศรษฐกิจในปี 2563 ในแง่ของการอัดฉีดสภาพคล่อง ส่วนดอกเบี้ยน่าจะอยู่ในระดับที่นิ่งขึ้น ฉะนั้นเชื่อว่าตลาดพันธบัตรน่าจะกลับมาอยู่ในมิติที่ทรงตัวขึ้น จาก 2 ปีที่ผ่านมาตลาดพันธบัตรแกว่งมากเนื่องจากปัญหาดอกเบี้ยและความกลัว

ข้อ 2.ความวิตกเรื่องเศรษฐกิจถดถอยลดลง” จากกรณีที่ ธนาคารกลางสหรัฐ” (FED) เข้ามาช่วย กรณีปรับอัตราดอกเบี้ยลดลง โดยมองว่าในปี 2563 น่าจะเห็นนโยบายทางการเงินนิ่งขึ้น หมายความว่า อาจจะไม่เห็นการปรับลดหรือขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ยกเว้น จะเห็นสัญญาณเศรษฐกิจหรือเงินทิศทางอัตราเฟ้อออกไปนอกเหนือที่คาดการณ์ ซึ่งปัจจุบันยังถือว่ายังไกลจุดนั้นอีกมาก

และสิ่งที่ทำให้เชื่อว่าปี 2563 ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยลดลงแล้ว และเศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตได้นั้น สะท้อนผ่านตัวเลขประมาณการณ์ของ IMF ที่มองว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโต ระดับ 3.4%” จากปี 2562 ที่คาดว่าจะเติบโต 3% โดยในปี 2563 คาดการณ์ตัวเลขจีดีพีของสหรัฐ เติบโต 2.1% ยุโรป 1.4% จีน 5.8% และไทย 3% ซึ่งตัวเลขจีดีพีที่ IMF คาดการณ์นี้เทียบกับระดับของตัวเลขภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงถือว่า จุดต่ำสุด” (Bottom) แล้ว ฉะนั้น เชื่อว่าจะเห็นตัวเลขเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่ม ทรงตัว ในไตรมาส 4 ปี 2562 และเริ่มฟื้นตัวได้ในไตรมาส 1 ปี 2563 เป็นต้นไป

และข้อ 3. สงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐ-จีน ที่เริ่มส่งสัญญาณสามารถที่จะเจรจากันได้ หลังบรรลุข้อตกลงกันในเฟสแรกแล้ว แม้จะยังไม่จบแต่ถือว่าลดความรุนแรงลงได้ สะท้อนว่าจะสามารถควบคุมความรุนแรงหรือความเสียหายต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกได้ ภาคธุรกิจที่เคยชะลอการผลิตหรือหยุดการลงทุนต่างๆ น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ภาคการผลิตและภาคการส่งออกจึงมีโอกาสที่จะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

สุกิจ ฉายภาพต่อว่า ไตรมาส 1 ปี 2563 ภาพรวมของเศรษฐกิจจะเริ่มทยอยฟื้นตัว ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดหุ้น ภายใต้สมมติฐานไม่ขึ้นดอกเบี้ย ดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่อง เศรษฐกิจถดถอยลดน้อยลงและกลับมาเติบโตอ่อนๆ สงครามการค้าไม่รุนแรง และ การถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (เบร็กซิท) ลดความรุนแรงลงแล้ว

ดังนั้น 3 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อภาพใหญ่ของโลกไม่มีแล้ว ก็น่าจะเห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวได้ และสิ่งเหล่านี้จะทำให้ตลาดหุ้นสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แบบค่อยเป็นค่อยไป

อย่างไรก็ตาม ปี 2563 การจัดพอร์ตของนักลงทุนคาดว่าน่าจะมีการ “ลดน้ำหนักลงทุน” ในตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงในปี 2562 อย่างตลาดพัฒนาแล้ว และเลือกถือระยะยาวแทน และแบ่งน้ำหนักการลงทุนเพิ่มในตลาดหุ้นเกิดใหม่มากขึ้นที่มีโอกาสฟื้นตัว

สอดคล้องกับ ประเทศจีน ที่ภาครัฐมีการตั้งเป้าเศรษฐกิจปี 2563 ตัวเลขจีดีพีเติบโตไม่ต่ำกว่า 6% ซึ่งที่ผ่านมาเศรษฐกิจของจีนจะเป็นตัวชี้ว่าตลาดเกิดใหม่จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนหรือไม ฉะนั้น ปี 2563 เชื่อว่าตลาดเอเชีย เงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) มีแนวโน้มจะไหลกลับเข้ามา แต่มากน้อยแค่ไหนนั้นต้องขึ้นอยู่ที่จีนจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจแค่ไหน

แต่เชื่อว่าปี 2563 รัฐบาลจีนจะหันกลับมากระตุ้นผ่านการ การลงทุน มากขึ้น ในเชิงของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน และ ภาคอุตสาหกรรม สาเหตุที่มองเช่นนั้น เพราะว่าปัจจุบันจีนมีปัญหาเรื่องหนี้ สะท้อนผ่านระบบสินเชื่อของจีนเริ่มมีปัญหาให้เห็นบ้างแล้ว ฉะนั้นจีนต้องกระตุ้นการบริโภค ส่วนการก่อหนี้คงจะยากแล้ว

ทั้งนี้ ในปี 2563 จะเป็นปีที่ประเด็นเรื่องสงครามการค้าน่าจะหยุดพักรบก่อน เพื่อกลับไปซ่อมบ้านของตัวเองที่พังทั้งคู่ (สหรัฐฯ-จีน) บ่งชี้ผ่านในปี 2563 สหรัฐฯ จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่ง โดนัลด์ ทรัมป์” ก็ต้องการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 อีกสมัย ขณะที่จีนต้องกลับไปแก้ไขปัญหาภายในทั้งปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ปัญหาเกาะฮ่องกง และการเลือกตั้งของไต้หวัน

จังหวะที่สหรัฐ และ จีน หยุดพักรบกันน่าจะทำให้นักลงทุนหายใจหายคอดีขึ้นมาบ้าง ซึ่งเม็ดเงินลงทุนอาจจะมูฟกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่บ้าง เพราะตลาดพัฒนาแล้วราคาแพงเกินไปแล้ว

---------------------

บล.ไทยพาณิชย์ มองหุ้นไทย 1,750 จุด

สุกิจ อุดมศิริกุล” กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ (SCBS) บอกว่า ต้องยอมรับบรรยากาศตลาดหุ้นไทยในรอบปีที่ผ่านมา ถูกกระแสข่าวในแง่ลบเข้ามากระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนได้ง่ายขึ้น เป็นช่วงที่เจอะเจอใครทุกคนก็จะบอกว่าภาพรวมแย่ไปหมด ทุกคนอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่ในรอบปีที่ผ่านมาระวังเกินกว่าความจำเป็น นั่นคือ ความรู้สึกของนักลงทุนในปีที่ผ่านมา

หากย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2562 ผมเคยพูดให้นักลงทุนฟังว่า ตลาดหุ้นไทยปี 2562” น่ากลัวแต่ก็อย่ากลัวเกินความเป็นจริงเพราะขึ้นชื่อว่าตลาดหุ้นตามธรรมชาติก็น่ากลัวอยู่แล้ว เนื่องจากตลาดหุ้นเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ในแง่ของผลตอบแทนก็เป็นช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงเช่นกัน

สำหรับ คาดกรอบดัชนี SET Index ปี 2563 มองว่ามีโอกาสขึ้นไปทดสอบในกรอบ 17,00-1750 จุด คิดเป็นผลตอบแทน 12% โดยมองว่าปัจจัยลบที่รุมเร้าตลาดหุ้นเริ่มจำกัดแล้ว ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) มีแนวโน้มฟื้นตัวเติบโต 11% จากปีนี้ที่คาดติดลบ 3% ซึ่งมีปัจจัยบวกจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว รวมถึงเศรษฐกิจในประเทศที่จะได้รับแรงหนุนจากมาตรการลงทุนของภาครัฐในอัตราเร่ง

หุ้นไทยในปีหน้ามีโอกาสปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นเกิดใหม่ เพราะตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และ ยุโรป ญี่ปุ่น ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่แล้วหลายตลาด ทำให้ผลตอบแทนเริ่มจำกัดส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะหากสหรัฐฯ กับจีนสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้ จะส่งผลให้ Fund Flowไหลเข้าแน่นอน"

สำหรับ หุ้นที่น่าสนใจ ในปี 2563 แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีวัฏจักร อย่าง กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี , กลุ่มธนาคาร (แบงก์) หลังจากมูลค่าพื้นฐาน (Valuation) หุ้นลดลงมาสะท้อนความเสี่ยงไปมากพอสมควรแล้ว และคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัว และสงครามการค้าเริ่มคลี่คลายเป็นผลบวกกับหุ้นกลุ่มดังกล่าว

ขณะที่ลงทุนระยะยาว หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจและเพิ่มฟื้นตัว กลุ่มโรงพยาบาล มองว่าผลประกอบการในอีก 1-2 ปี ยังสามารถเติบโตได้อีก กลุ่มขนส่ง โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวกับรถไฟฟ้า ซึ่งจะได้รับผลดีจากการเปิดเส้นทางใหม่ ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มเข้ามาในระบบมากขึ้น ซึ่งแนวโน้มธุรกิจจะคล้ายๆ หุ้น ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT ที่เส้นทางเพิ่มขึ้นคนใช้บริการก็เพิ่มขึ้น หุ้นรถไฟฟ้ามองว่า 2-3 ปีข้างหน้ายังเป็นหุ้นที่มีการเติบโต และเป็นหุ้นที่อ่อนไหวกับเศรษฐกิจน้อย เพราะว่าเป็นหุ้นที่เข้ามาแทนทางเลือกอื่นๆ ของการเดินทาง

อย่างไรก็ตาม ปี 2563 การจัดพอร์ตของนักลงทุนคนที่มีความกลัวต้องลดน้ำหนักตลาดที่หุ้นขึ้นมามากๆ แต่ในระยะยาวนักลงทุนไม่ทิ้ง เพราะเชื่อว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้วเป็นพอร์ตหลักของนักลงทุนระยะยาว เพราะว่าเป็นตลาดที่มีหุ้นขนาดใหญ่ของโลก อย่าง เทคโนโลยี เฮลแคร์ แบรนด์เนม เป็นหุ้นที่นักลงทุนมีความมั่นใจเพราะว่าเป็นหุ้นระดับโลกที่ต้องถือ แต่อาจจะต้องมีการปั่นส่วนออกมาบ้างเพื่อลงทุนในตลาดเกิดใหม่ EM

ตลาดจีน ตามที่บอกรัฐบาลตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 6% เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจจีนจะเป็นตัวชี้ว่าตลาดเกิดใหม่ในปีหน้าจะได้รับเม็ดเงินลงทุนกลับเข้ามามากน้อยแค่ไหน ซึ่งมองว่าจีนในปีหน้าคงจะหันกลับมากระตุ้นการลงทุนมากขึ้นในเชิงของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรม สาเหตุที่มองเช่นนั้น เพราะว่าปัจจุบันจีนมีปัญหาเรื่องหนี้สะท้อนผ่านสินเชื่อของจีนเริ่มมีปัญหาแล้ว ฉะนั้นจีนต้องกระตุ้นการบริโภค ซึ่งการก่อหนี้คงจะยากแล้ว 

เชื่อว่าปีหน้าจะเป็นปีที่สงครามการค้าหยุดพัก เพื่อกลับไปซ่อมแซมบ้านตัวเอง เพราะบ้านพังทั้งคู่ ซึ่งโดนันทรัมป์ก็คงอยากที่จะเป็นประธานาธิบดีต่ออีกสมัย จีนคงต้องกลับไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาฮ่องกง และมีเลือกตั้งไตหวันอีก

  ฉะนั้น จังหวะที่สหรัฐ และจีน หยุดพักรบน่าจะทำให้หายใจหายคอดีขึ้นมาบ้าง ซึ่งเม็ดเงินลงทุนอาจจะมูฟเข้ามาในตลาดเกิดใหม่บ้าง เพราะตลาดพัฒนาแล้วราคาแพงเกินไปแล้ว

---------------------

ขาใหญ่รีเทิร์น ติดลบ

โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง อดีตนายกสมาคม นักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ วีไอ วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยปี 2563 ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยน่าจะเป็นอีกปีที่ ลงทุนยาก เนื่องจากด้วยปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจที่อยู่ระหว่างการปรับตัว โดยเฉพาะภาคเอกชนที่ตอนนี้โดนเรื่องของเทคโนโลยีเข้ามากระทบอย่างมาก ส่วนตัวมองว่าเศรษฐกิจเป็นภาพใหญ่จะให้มาแก้ระยะสั้นๆ คงไม่ได้

157759474178

**โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง

"แนวโน้มปี2563 ก็คงเหมือนปี 2562 เราก็กินก็ใช้เหมือนเดิมถามว่ามันจะมีอะไรเปลี่ยน GDP คง 2% การกระตุ้นของภาครัฐผมว่ามีผลน้อยมาก เพราะไปดูจำนวนเม็ดเงินมันน้อยมาก ตราบใดที่เงินบาทแข็ง และเรายังพึ่งสินค้าเกษตรส่งออกเป็นหลัก"

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสังเกตเห็นได้ว่าสัดส่วนของนักลงทุนทุนในตลาดหุ้นเปลี่ยนไป จากปี 2540 มีนักลงทุนสถาบันราว 2-3% ปัจจุบันเพิ่มขึ้นมามหาศาลเป็นประมาณ 20% กว่า แต่ต่างชาติยังคงเท่าเดิม และที่หายไปคือนักลงทุนรายย่อย

สำหรับ ผลตอบแทน ปี 2562 พอร์ตหุ้น ติดลบ 2-3%” ถือว่าลดลงเป็นปีที่สอง โดยในส่วนของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (วีไอ) จะชอบตลาดหุ้นที่มีลักษณะขึ้นลงไม่หวือหว่า โดยการลงทุนจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีอัตราการเติบโต

ดังนั้น ในฐานะนักลงทุนก็ต้องมีการปรับตัวเช่นกัน โจ-อนุรักษ์ บอกว่า นักลงทุนจะต้องทำการบ้านให้หนักขึ้น โดยกลยุทธ์ลงทุนอาจจะต้องปรับพอร์ตลงทุนออกไปในต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากปี 2562 ตลาดต่างประเทศให้รีเทิร์นค่อนข้างดี หรือเลือกลงทุนในหุ้นที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนสถาบันมากขึ้น

 "ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่เริ่มเหมือนต่างประเทศแล้ว มันฝืนโลกไม่ไหว สุดท้ายแล้วรายย่อยอย่างพวกเราจะค่อยๆ หายไปถ้าพวกเราไม่ปรับตัว

อย่างไรก็ตาม มองว่าในปัจจุบันธุรกิจเปลี่ยนไปมากนับตั้งแต่มีอินเทอร์เน็ตเข้ามา ดังนั้น การซื้อหุ้นแล้วถือไปนานๆ อาจจะอันตราย ต้องดูด้วยว่าธุรกิจที่ถืออยู่ ได้รับผลกระทบจากการการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและแนวโน้มใหญ่ของโลกหรือไม่ อย่างเช่นที่ได้รับผลกระทบคือ ธุรกิจสื่อ ธุรกิจโทรทัศน์ ธุรกิจพลาสติก และธุรกิจให้เช่าพื้นที่

อย่างธุรกิจพลาสติก เทรนด์ลดการใช้พลาสติกมาแรงมาก นี่จึงอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หุ้นปูนซิเมนต์ไทยทำนิวโลว์ในรอบหลายปี เพราะกำไร 70% มาจากปิโตรฯ แต่ช่วงนี้มาถึงจุดเปลี่ยนของปิโตรฯ เพราะกระแสต่อต้านการใช้พลาสติก หรือธุรกิจให้เช่าพื้นที่ จะได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมคนเปลี่ยนเพราะหันไปซื้อของผ่านโลกออนไลน์

การลงทุนเราจะเปลี่ยนตามโลก สิ่งที่เราทำได้ก็คือ ถึงแม้จะเป็นการซื้อหุ้นเล็กหุ้นน้อย ขอให้พื้นฐานมันดี ให้กำไรมันมีแนวโน้มเติบโต เป็นสินค้าที่ยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ถ้าเราเลือกหุ้นแบบนี้ได้ผมว่าน่าจะปลอดภัย"

157759478791

**วัชระ แก้วสว่าง 

เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” นักลงทุนด้านเทคนิคเจ้าของพอร์ต “หลักพันล้าน” วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยปี 2563 ว่า คาดว่าตลาดหุ้นปี 2563 น่าจะดีขึ้น เพราะฐานปี 2562 ค่อนข้างต่ำ แต่อย่างไรก็ต้องรอดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะออกมาแบไหน

สำหรับพอร์ตลงทุนปี 2562 ติดลบ 2%” ถือว่าแพ้ตลาด ยอมรับว่าตลาดหุ้นปี 2562 เล่นยาก ขณะที่นักลงทุนมีการโยกย้ายสลับไปลงทุนหุ้นในกลุ่มที่มีอนาคต และทิ้งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบในด้านลบจากเทคโนโลยี พร้อมยกตัวอย่างหุ้นที่แย่ในปีนี้ เช่น กลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มธนาคาร (แบงก์) เนื่องจากราคาปรับตัวลงมามาก

ตอนนี้ยอมรับว่า เลือกหุ้นซื้อไม่ค่อยถูก มันเลือกไม่ถูกจริงๆ แต่ก็พร้อมที่จะลงทุนทันทีหากจังหวะหุ้นกลับมา