ผ่ามุมมองนักอสังหาฯพ้นอัสดง มองข้ามช็อต“รอขาขึ้น”..!!
ข่าวร้ายมากมายฉุดเศรษฐกิจ เพิ่มความเสี่ยงให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว ผสมโรงเหตุการณ์คุกรุ่นในตะวันออกลาง ทว่านักพัฒนาอสังหาฯตัวจริงที่ผ่านมาหลายยุควิกฤติต่างมองปัจจัยเสี่ยงเป็นวัฎจักรปกติ ต้องหาโอกาสในวิกฤติให้เจอ
วานนี้ (7 ม.ค.) ในงานเสวนา “กลยุทธ์รับมือธุรกิจอสังหาฯ ขาลง ปี 2563” โดยผู้เข้าร่วมเสวนาจากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์(Developer) ผู้เคยผ่านการอบรมหลักสูตรระยะสั้นด้านอสังหาฯ “The NEXT Real” ที่เปิดมาแล้ว 8 รุ่น ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง ประสบการณ์ และกลยุทธ์การรับมือตลาดที่ยังไม่ฟื้น
มีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลฟ์ แอนด์ ลีฟวิ่ง จำกัด The NEXT Real รุ่น 8 มองว่า ปี 2563 เข้าสู่ภาวะดำเนินธุรกิจค่อนข้างยาก เพราะตลาดอสังหาฯที่เคยเติบโตกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในระยะสั้นจึงต้องประคองตัวเองให้อยู่รอด โดยการแบ่งสินค้า และเซ็คเม้นท์ที่ขายดี และขายไม่ได้ วางตำแหน่งสินค้าให้อยู่ในกลุ่มที่ลูกค้าต้องการซื้อเป็นหลัก
ขณะเดียวกัน ในภาวะวิกฤติมีปัจจัยภายนอกมากมายที่อยู่นอกเหนือการควบคุมธุรกิจ จึงเป็นเรื่องที่ยากในการเข้าไปบริหารจัดการภาพรวม สิ่งที่ธุรกิจควรทำคือ “การวางแผนปรับกระบวนการทำงานภายในองค์กร” ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพกาทำงาน ลดต้นทุน การบริหารจัดการในองค์กร กระตุ้นพนักงานให้มีโอกาสเรียนรู้เพิ่มทักษะใหม่ๆ
“ต้องคิดแก้ไขปัญหาระยะสั้นเพื่อเอาตัวรอดให้ผ่านพ้นช่วงที่ตลาดหดตัว ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขในระยะสั้น แต่เป็นโอกาสดีในการหันมาปรับปรุงระบบการบริหารงานภายใน เช่น กระตุ้นพนักงาน เพราะถือเป็นวัฎจักรที่มีขึ้นและลงตามภาวะตลาด อย่างเช่นวิกฤติปี 2540 ก็ผ่านมาได้ จึงไม่ควรกลัวเกินไป จนลืมมองปัจจัยภายในที่ควบคุมได้ในองค์กรให้เข้มแข็งได้ในระยะยาว”
ด้าน ณพน เจนธรรมนุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทสัมมากร จำกัด(มหาชน) The NEXT Real รุ่น 7 กล่าวว่า วิธีการบริหารจัดการธุรกิจให้ธุรกิจเติบโต ต้องเพิ่มโมเดลธุรกิจให้หลากหลาย (Diversitfy) ด้วยการขยายตลาดในหลายทำเล และเพิ่มกลุ่มลูกค้าในเซ็คเม้นท์ให้ขยายวงกว้างมากขึ้น เพื่อเพิ่มยอดขาย รวมไปถึงการขยายตลาดไปสู่การสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) อีกทั้งมุ่งเน้นการบริหารสภาพคล่อง(Cash Flow)
“ธุรกิจของสัมมากร ส่วนใหญ่เป็นแนวราบ ที่ยังเติบโตไปได้ เมื่อตลาดขาลงก็ต้องเตรียมพร้อมในการเพิ่มความหลากหลายเพื่อทำให้ยอดขายไม่ตก และการเพิ่มรายได้ประจำ เช่น ห้างคอมมูนิตี้มอลล์ ช่วยสร้างรายได้ในภาวะที่ตลาดไม่ดี รวมไปถึงการมุ่งเน้นที่การมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง”
ขณะที่ วัฒนพล ผลชีวิน ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท มณีรินทร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด The NEXT Real รุ่น7 กล่าวว่า มีกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงและสร้างการเติบโตได้ด้วยการหาจุดแข็งในทำเลและสินค้าที่ถนัด โดยเฉพาะผู้ที่เติบโตมาในแนวราบก็มุ่งเน้นพัฒนาแนวราบในทำเลที่เข้าใจลูกค้าและสภาพตลาด ที่สำคัญตอบโจทย์ตรงกับความต้องการ พร้อมกับเป็นช่วงสำคัญในการบริหารจัดการสต็อกคงค้าง ไม่เก็บสะสมที่ดินจำนวนมาก และมุ่งเน้นพัฒนาโครงการขนาดเล็กประมาณ 2-3 ล้านบาทต่อยูนิต แทนการสร้างโครงการขนาดใหญ่ในจุดเดียว
ปิดท้ายที่น้องใหม่วงการอสังหาฯ บดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด The NEXT Real รุ่น 7 ยอมรับว่า โครงการคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะลักชัวรี่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติมากกว่าแนวราบ ซึ่งที่อยู่อาศัยแนวราบ(Low Rise) หรือบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ราคา 5 ล้านบาทต่อยูนิต ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูง (High Rise) หรือคอนโดมิเนียม ราคาควรอยู่ที่ประมาณ 7-8หมื่นต่อตารางเมตร(ตร.ม.)
“ปีนี้ราคาและสินค้าเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งโครงการที่วางไว้ยังเดินหน้าตามแผนหยุดไม่ได้ เพราะมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ดังนั้นจึงต้องบริหารความเสี่ยงโดยการหาพันธมิตรJV หากโครงการดีก็เชื่อว่ามีคนอยากเข้ามา มองแนวราบเป็นแคชโฟร์ และมองโครงการแนวสูงเป็นกำไร”
เขายังระบุว่า ตอนนี้เป็นช่วงบริหารโดยสร้างความเข้าใจให้กับองค์กร ในภาวะวิกฤติต้องแสดงออกถึงภาวะผู้นำให้ทีมงานได้เห็น โดยตนแสดงออกในการไม่รับเงินเดือนและโบนัส เพื่อแสดงความรับผิดชอบ
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในยุคนี้คือการสร้างเครือข่ายธุรกิจ เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างเพื่อนธุรกิจและเพื่อนข้ามธุรกิจ เพื่อเติบโตไปด้วยกัน