ดับบลิวเอชยันลงทุนไทยโตต่อเนื่อง จีนย้านฐานตั้งโรงงานไทยอันดับ2
ดับบลิวเอชเอ มั่นใจ สงครามการค้ายังยืดเยื้อ ส่งผลบวกการลงทุนไทย ต่างชาติแห่ลงทุนอุตฯอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนปี 2563 จีดีพีไทย โต 3% เผยผลสำรวจจีนย้ายฐานมาไทยมีมูลค่าเป็นอันดับ 4 ของอาเซียน หากเป็นจำนวนโรงงานอยู่อันดับ 2 รองเวียดนาม
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ WHA กล่าวบรรยายพิเศษหัวเรื่อง “เจาะอุตสาหกรรมเด่นขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี2020” ในงานสัมมนาใหญ่ประจำปี2563 ที่จัดขึ้นโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ โดยระบุว่า ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน จะยังคงยืดเยื้อ เพราะปัญหาจีนกับสหรัฐไม่ได้มีเรื่องปัญหาการค้า แต่ยังมีปัญหาความขัดแย้งทางเทคโนโลยี และความมั่นคง แต่ปัญหาสงครามการค้าที่เกิดขึ้นมีทั้งผลดีและผลเสีย ซึ่งในส่วนของผลดีนั้นทำให้ภาพของนิคมอุตสาหกรรมดีขึ้น ยอดขายที่ดินโต ส่วนหนึ่งมาจากจีนที่ย้ายฐานการผลิตมาออกประเทศ เพื่อสร้างการเติบโต ขณะที่ไทยภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ทำให้ช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น มองว่า ในปีนี้อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง เช่น กลุ่มโลจีสติกส์ กลุ่มอีคอมเมิร์ซ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มยูทีนีตี้ จากปัญหาภัยแล้งที่ต้องการน้ำ กลุ่มพลังงาน แม้โรงไฟฟ้าไอพีพีในประเทศจะมีโอกาสน้อย แต่ก็ยังมีโอกาสออกไปขยายการลงทุนในต่างประเทศได้ โดยปีนี้ WHA ประเมินว่า จีดีพี ไทยจะโต 3% จากปี 2562 และไม่กระทบต่อยอดขายที่ดินในนิคมฯ แม้ว่าเงินบาทแข็งค่าจะเป็นปัจจัยกดดัน แต่ลูกค้าจะต้องไปปรับแผนการลงทุนของบริษัทเองเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต เพราะการลงทุนตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเป็นการวางแผนทางธุรกิจในระยะยาว ปัญหาในระยะสั้นจึงไม่กระทบต่อแผนการลงทุนมากนัก
ส่วนอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มที่ดีในปีนี้ จะเป็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ปีนี้มีโอกาสขยายตัวอย่างมาก เห็นได้จากการที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ที่ระบุว่า กลุ่มนักลงทุนไต้หวัน จีน เกาหลีใต้ เข้ามาขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวนมาก และขอให้เตรียมนิคมฯเพื่อรองรับการลงทุน ซึ่งในอนาคตรูปแบบการจัดตั้งนิคมฯจะเปลี่ยนไปจากเดิมที่สร้างนิคมฯตามรูปแบบอุตสาหกรรม จะเปลี่ยนเป็นสร้างตามกลุ่มประเทศ ขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างชาติ มองว่ากลุ่มทุนจากจีนยังคงมาแรง โดยในนิคมฯของ WHA นักลงทุนจากจีนได้เข้ามาลงทุนแซงหน้าประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2561 – 2562 และคาดว่าในปีนี้นักลงทุนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
โดยผลสำรวจของ Business World ในเรื่องของปริมาณการลงทุนจากต่างประเทศอันเนื่องมาจากผลกระทบสงครามการค้าระหว่างจีน – สหรัฐ พบว่าในปี 2561 เงินทุนที่เข้ามาในอาเซียนจะมาสู่ประเทศไทยเป็นอันดับ 4 รองจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม ส่วนบริษัทที่ย้ายฐานการลงทุนจากจีนออกไปทั่วโลก ในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เข่ามาไทยเป็นอันดับ 4 รองจากเวียดนาม ไต้หวัน เม็กซิโก กลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค ย้ายเข้ามาลงทุนในไทยเป็นอันดับ 3 รองจากเวียดนาม ไต้หวัน ส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนย้ายมาไทยเป็นอันดับ 2 รองจากเวียดนาม
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังอาเซียนเป็นจำนวนโรงงาน อันดับ 1 เวียดนาม 26 โรง อันดับ 2 ไทย 8 โรง อันดับ 3 กัมพูชา 4 โรง อันดับ 4 มาเลเซีย 3 โรง และอันดับ 5 อินโดนีเซีย 2 โรง
อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาโมเมนตัมการขยายตัวด้านการลงทุน รัฐบาลจะต้องการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 และผลักดันการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในพื้นที่ อีอีซี และให้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการเร่งขยายเขตการค้าเสรีในกรอบต่างๆ โดยเฉพาะความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าและส่งเสริมการเติบโตของการส่งออกของไทย
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการจะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยการเตรียมกำลังแรงงานทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งการอัพสกิล และการรีสกิล กำลังแรงงานของไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ