'6 บจ.' ทุ่ม 1.6 หมื่นล้าน 'ซื้อหุ้นคืน'
"6 บจ." แห่ออกโครงการซื้อหุ้นคืน "เซ็นทรัลพัฒนา" รายล่าสุด ทุ่ม 5 พันล้านบาท จ่อซื้อคืนไม่เกิน 77 ล้านหุ้น ขณะที่ "กสิกร-ช.การช่าง-ศุภาลัย" กำหนดวงเงินรวมกันเฉียด 1 หมื่นล้านบาท
นับแต่ก้าวเข้าสู่ปี 2563 ดัชนี SET ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงประมาณ 7% จนดัชนีร่วงลงไปแตะระดับ 1,480 จุด จนเห็นราคาหุ้นหลายตัวลดลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายปี
อย่างราคาหุ้น บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาต่อเนื่องตั้งแต่จุดสูงสุดที่ 87.25 บาท เมื่อปี 2561 จนไปทำจุดต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี ที่ 56 บาท เมื่อ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา
ล่าสุดวานนี้ (21 ก.พ.) CPN ได้แจ้งแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน โดยจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 77 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกิน 1.7% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 6 มี.ค. - 5 ก.ย. 2563
เหตุผลของการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ เพื่อบริหารสภาพคล่องทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นต่อสถานะการเงินที่แข็งแกร่งและศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนในอนาคต และเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) รวมถึงเพิ่มกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) โดยบริษัทประเมินว่าจะช่วยให้ราคาหุ้นมีเสถียรภาพมากขึ้น
ไม่เพียงแค่ CPN เท่านั้น แต่ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทขนาดใหญ่ที่ออกโครงการซื้อหุ้นคืนก่อนหน้านี้
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า คณะกรรมการธนาคารมีมติอนุมัติให้ธนาคารดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อบริหารสภาพคล่องทางการเงินของธนาคารให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับธนาคารและผู้ถือหุ้น โดยจะซื้อหุ้นของธนาคารคืนในกระดานหลักของตลาดหลักทรัพย์ฯ สูงสุดไม่เกิน 23.93 ล้านหุ้น หรือไม่เกิน 1% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ในวงเงินไม่เกิน 4,600 ล้านบาท
ช่วงระยะเวลาในการซื้อหุ้นคืน 10 วันทำการ ระหว่างวันที่ 14 - 27 ก.พ. 2563 ราคาเสนอซื้อจะไม่เกินราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนวันซื้อหุ้นคืน บวกด้วยจำนวน 15% ของราคาปิดเฉลี่ย โดยเงินที่ใช้ซื้อหุ้นคืนจะเป็นเงินสดจากสภาพคล่องภายในของธนาคาร
ทั้งนี้ จากรายงานผลการซื้อหุ้นคืนของ KBANK ณ วันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา บริษัทดำเนินการซื้อหุ้นคืนไปแล้วทั้งสิ้น 14.15 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.59% ของหุ้นทั้งหมด และคิดเป็นมูลค่า 1.99 พันล้านบาท
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่าตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา มีบริษัทจดทะเบียนอีก 4 ราย ที่ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนไปก่อนหน้านี้ ได้แก่ บมจ.ศุภาลัย หรือ SPALI บมจ.ทีพีไอ โพลีน หรือ TPIPL บมจ.ช.การช่าง หรือ CK และบมจ.แกรททิทูด อินฟินิท หรือ GIFT
สำหรับ SPALI ตั้งงบลงทุนไม่เกิน 2 พันล้านบาท โดยกำหนดจำนวนหุ้นที่ซื้อคืน 120 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.6% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด กำหนดระยะเวลาซื้อคืนระหว่าง 12 ก.พ. - 11 ส.ค. 2563 โดย ณ วันที่ 20 ก.พ. 2563 บริษัทซื้อหุ้นคืนไปแล้วทั้งสิ้น 13.8 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 235.31 ล้านบาท
ส่วน TPIPL กำหนดวงเงินสำหรับซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 800 ล้านบาท โดยจะซื้อหุ้นคืนทั้งสิ้น 383.61 ล้านหุ้น คิดเป็น 2% ของหุ้นทั้งหมด โดยจะซื้อหุ้นคืนระหว่างวันที่ 14 ก.พ. – 13 ส.ค. 2563 ล่าสุด บริษัทซื้อหุ้นคืนไปแล้วทั้งสิ้น 15.68 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 24.8 ล้านบาท
ขณะที่ CK กำหนดวงเงินสำหรับซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 3 พันล้านบาท โดยจะซื้อหุ้นคืนทั้งสิ้น 169.38 ล้านหุ้น คิดเป็น 10% ของหุ้นทั้งหมด โดยจะซื้อหุ้นคืนระหว่างวันที่ 2 มี.ค. – 1 ก.ย. 2563 เช่นเดียวกัน GIFT กำหนดวงเงินซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 210 ล้านบาท สำหรับที่จะซื้อหุ้นคืน 70 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 20 เม.ย. – 29 เม.ย. 2563
แต่ในกรณีของ GIFT นั้น บริษัทตัดสินใจซื้อหุ้นคืน โดยงดจ่ายเงินปันผลงวดปี 2562 ซึ่งบริษัทให้เหตุผลว่า การดำเนินการซื้อหุ้นคืนด้วยราคาเสนอซื้อที่ 3 บาท จะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนจากการขายหุ้นคืนในอัตราหุ้นละ 0.5239 บาท เมื่อหักค่าธรรมเนียมและภาษี จะทำให้ได้เงินสุทธิเท่ากับ 0.5225 บาทต่อหุ้น