'แอสเสทเวิรด์' พลิกวิกฤติเป็นโอกาสเดินหน้าลงทุน-ลดค่าเช่าช่วยคู่ค้า
แอสเสท เวิรด์ คอร์ป รับมือ “โคโรนาเอฟเฟกต์” หลังฉุดรายได้โรงแรม-ลูกค้าเอเชียทีควูบ มั่นใจพลิกวิกฤติเป็นโอกาส เดินหน้าลงทุน 3 หมื่นล้าน เร่งแผนยกเครื่องโรงแรม-ค้าปลีก พร้อมงัดมาตรการ “ลดค่าเช่า” ประคองคู่ค้า ประเดิม 25% เดือน มี.ค.
วิกฤติการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลก และประเทศไทย โดยเฉพาะธุรกิจ โรงแรม ค้าปลีก ชะลอตัวอย่างหนักจากปริมาณลูกค้าหายออกจากตลาด ขณะที่ “แอสเสท เวิรด์ คอร์ป” โฮลดิ้ง คอมปะนี ภายใต้เครือทีซีซีกรุ๊ป ผู้พัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร มองวิกฤติเป็น “โอกาส” ใช้ห้วงเวลานี้เร่งปรับปรุงโรงแรม และโครงการค้าปลีกหลายแห่งสู่ภาพลักษณ์ใหม่ เตรียมความพร้อมรอตลาดรีเทิร์น
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมอย่างชัดเจนในเดือน ก.พ. จากปริมาณเข้าพักที่ลดลง มีการยกเลิกงานประชุมสัมมนา กระทบรายได้ราว 30% ขณะที่โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากลูกค้าที่หายไป โดยช่วงปกติ เอเชียทีค มีลูกค้าหมุนเวียนวันธรรมดา 30,000 คน และ 50,000 คนในวันหยุด ปัจจุบันมีลูกค้าราว 15,000-18,000 คน
อย่างไรก็ตาม บริษัทร่วมมือกับพันธมิตรโรงแรมชั้นนำต่างๆ ในการออกนโยบายยกเว้นค่าธรรมเนียมในการยกเลิกเข้าพักในโรงแรมและการยกเลิกหรือเลื่อนการจัดประชุม โดยพิจารณาความเหมาะสมในช่วงเวลาที่เดินทางและประเทศต้นทาง
ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า ได้แก่ เอเชียทีค รวมถึงโครงการรีเทลอื่นๆ ในเครือ จะมีการให้ส่วนลดค่าเช่าตามสถานการณ์ผลกระทบด้านจำนวนลูกค้าและเศรษฐกิจของแต่ละโครงการเดือนต่อเดือน และพิจารณามอบความช่วยเหลือเพิ่มตามความเหมาะสมของสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันอย่างดีที่สุด เบื้องต้น ได้พิจารณาลดค่าเช่า 25% ในเดือน มี.ค.นี้ สำหรับผู้ค้าเอเชียทีค
“แม้ระยะสั้นสถานการณ์ดูน่ากลัว แต่ในวิกฤติมีโอกาสเช่นกัน จังหวะนี้ดอกเบี้ยต่ำทั่วโลก ถือเป็นโอกาสอย่างมากสำหรับแอสเสท เวิรด์ ที่จะเร่งสปีดทุกอย่างขึ้นมา โดยเฉพาะการปรับปรุงโครงการเก่าต่างๆ แม้แต่การลงทุนโครงการใหม่ที่ต้องใช้เวลาพัฒนา 3 ปี หรือ 5-7 ปี กว่าจะแล้วเสร็จสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อตลาดพร้อมเราจะวิ่งได้อย่างรวดเร็ว”
เร่งเครื่องลงทุน-ปรับปรุงโครงการ
โดยช่วง 3-5 ปีจากนี้ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป มีแผนพัฒนาโครงการมากกว่า 10 โครงการ ภายใต้งบลงทุนเบื้องต้น 30,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการโรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์มากกว่า 12 โครงการ ซึ่งจะเพิ่มจำนวนห้องพักเป็น 8,506 ห้อง และเพิ่มพื้นที่เช่าของอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าเป็น 415,481 ตร.ม. ภายในปี 2567 มุ่งเน้นลูกค้ากลุ่มรายได้ระดับกลางถึงสูง
โดยการปรับปรุงโครงการเก่า อาทิ โรงแรมเลอเมอริเดียน กรุงเทพฯ โครงการพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ทั้งหมด 3 แห่ง ได้แก่ ประตูน้ำ เชียงใหม่ งามวงศ์วาน ซึ่งอนาคตชื่อพันธุ์ทิพย์ เป็นเพียงซับแบรนด์ หรือหนึ่งในแม่เหล็กในพื้นที่โครงการนั้นๆ พร้อมเปลี่ยนชื่อโครงการใหม่แนวไลฟ์สไตล์ ซึ่งจะมีการเพิ่มอาหารและเครื่องดื่มเข้ามามากขึ้นรองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ รวมทั้งการปรับปรุง โครงการตะวันนา บางกะปิ เกทเวย์ บางซื่อ
ขณะเดียวกันจะมีการลงทุนโครงการใหม่ต่อเนื่อง เช่น โปรเจคย่านบางกะปิ (ติดแม็คโคร) มองคอนเซปต์แนวเชฟเทเบิ้ล ซึ่งจะเปิดตัวเร็วๆ นี้ พร้อมเปิดกว้างการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ขึ้นอยู่กับจังหวะ โอกาส และความเหมาะสม
สำหรับโครงการที่จะเปิดตัวในปีนี้ เช่น โรงแรมบันยันทรี กระบี่ เรือพิพิธภัณฑ์ที่เอเชียทีค คอมมูนิตี้มอลล์ โครงการส่วนต่อขยายเฟส 2 ลาซาล อเวนิว
ชู 5 กลยุทธ์เคลื่อนธุรกิจ
แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ยังได้กำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ การสร้างตอบแทนต่อส่วนทุนที่คุ้มค่า การสร้างความแข็งแกร่งและเติบโต อย่างต่อเนื่องยั่งยืน และการเป็นองค์กรที่น่าชื่นชมและเชื่อถือ โดยดำเนินงานผ่าน 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ เติบโตก้าวกระโดด (Growth-Led Strategy) ตามแผนลงทุน 5 ปี มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาทดังกล่าวข้างต้น
ทั้งนี้ บริษัทมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจน ได้แก่ ลูกค้าและนักท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ระดับกลาง ถึงสูง และนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ ที่มีอัตราการเติบโตและอัตราส่วนกำไรต่อรายได้สูงสร้างความแข็งแกร่งร่วมกับพันธมิตรระดับโลกเพื่อสร้างและขยายเครือข่ายพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในสายงานต่างๆ ในการแบ่งปันความชำนาญและมาตรฐานการดำเนินงานให้อยู่ในระดับสากล สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่จากระบบจัดจำหน่ายทั่วโลก (Global Distribution Channel) โปรแกรมสมาชิก (Loyalty Program) กว่า 300 ล้านสมาชิกของผู้บริหารโรงแรม และเพิ่มตัวเลือกแบรนด์ที่หลากหลายให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากขึ้นเป็นผู้นำตลาด
สร้างประสบการณ์ใหม่ให้วงการ ด้วยการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่และมีจุดดึงดูดเพื่อสร้างขีดการแข่งขันและเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้กับประเทศ อาทิ ส่งเสริมความแข็งแกร่งและยกระดับอุตสากรรมไมซ์ให้ประเทศไทย ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติผ่านเครือข่ายระดับโลกที่แข็งแกร่ง และการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้จุดหมายปลายทางที่โครงการของ AWC เปิดดำเนินการพัฒนาและดำเนินธุรกิจเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน
การสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ ด้วยการจัดทำแผนงานเพื่อความยั่งยืนในมิติต่างๆ ทั้งในด้านการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนจากหน่วยงานต่างๆ การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนตอบสนองนโยบาย “การบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืน” ของบริษัทผ่านการดำเนินงานของมูลนิธิแอสเสท เวิรด์ เพื่อการกุศล (Asset World Foundation for Charity) และ The Gallery วิสาหกิจเพื่อสังคม ซึ่งทั้งหมดนี้คือการเดินหน้าสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้กับบริษัท นักลงทุน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมยกระดับเศรษฐกิจ และสังคมไทยแบบองค์รวม
Green Loan ครั้งแรกของไทย
พร้อมกันนี้ บริษัทได้รับการสนับสนุนสินเชื่อสีเขียวจากบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC)ของกลุ่มธนาคารโลกสำหรับกลุ่มอสังริมทรัพย์รายแรกในประเทศไทย หลังจากบริษัทได้มีการลงนามในหนังสือตอบรับเพื่อรับจัดสรรสินเชื่อสีเขียวสำหรับโครงการต่างๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Loan) แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ได้เตรียมความพร้อมด้วยการลงนามในความร่วมมือว่าด้วยการรับรองมาตรฐานความเป็นเลิศในการออกแบบอาคารเพื่อประสิทธิภาพสำหรับตลาดเกิดใหม่ จากบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศของกลุ่มธนาคารโลก ซึ่ง AWC และ IFC อยู่ระหว่างการหารือเพื่อการจัดหาเงินทุนสีเขียว (Green Financing) สำหรับโครงการต่าง ๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
โดย แอสเสท เวิรด์ เป็นกลุ่มอสังหาฯ รายแรกในประเทศไทย ที่ได้รับการสนับสนุนสินเชื่อสีเขียวดังกล่าว ด้วยความพร้อมที่จะพัฒนาโครงการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานด้วยการประหยัดพลังงานไฟฟ้า และน้ำในอาคารได้อย่างน้อย 20% ขึ้นไป เมื่อเทียบกับโครงการทั่วไป และแผนพัฒนาและดำเนินงานอื่นๆ เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังงาน
แรงส่งปี62หนุนธุรกิจแกร่ง
ในปี 2562 ที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของทุกกลุ่มธุรกิจมีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่ง มีกำไรสุทธิ 1,040 ล้านบาท เติบโต 109% โดยมีกำไรจากการดำเนินงานของสินทรัพย์ดำเนินงาน เติบโต 8.4% ซึ่งกำไรจากการดำเนินงานของสินทรัพย์ดำเนินงาน แบ่งสัดส่วนเป็นโรงแรมและการบริการ (Hospitality) 45% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการประกอบกิจการการค้า (Retail) 22% และธุรกิจอาคารสำนักงาน (Office) 33% รายได้จากพอร์ตโฟลิโอสินทรัพย์ดำเนินงาน เติบโต 3.4%
กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ มีรายได้จากสินทรัพย์ดำเนินงานเพิ่มขึ้น 1.3% รายได้หลักเพิ่มขึ้นจากโรงแรมกลุ่มไมซ์ที่เพิ่มขึ้น 6.8% โดยโรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค ที่อยู่ในช่วงการดำเนินงานเริ่มต้น (Ramp up) รายได้เติบโต 13.9% และมีกำไรจากการดำเนินงานเติบโต 26% มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) สูงกว่าตลาด
กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) มีรายได้จากสินทรัพย์ดำเนินงานเพิ่มขึ้น 7.7% จากการเปิดตัว 2 โครงการใหม่ เกทเวย์ แอท บางซื่อ มีรายได้เติบโต 1,037% และกำไรจากการดำเนินงานสูงขึ้น 225% และ ลาซาล อเวนิว รายได้เติบโต 175% กำไรจากการดำเนินงานสูงขึ้น 9,245% ประกอบกับธุรกิจอาคารสำนักงานมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การให้เช่าพื้นที่ให้รองรับความต้องการของลูกค้าและธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้มีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตรา 6% และด้วยกลยุทธ์ที่เน้นประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งการจัดซื้อจำนวนมากส่งผลให้การเติบโตของอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้สำหรับพอร์ตทรัพย์สินดำเนินงาน สูงขึ้นจาก 48% เป็น 51%
ขณะที่สินทรัพย์รวมเติบโต 17.3% หนี้สินรวมลดลง 50.7% จากการนำเงินจากการเพิ่มทุนบางส่วนมาใช้ในการบริหารสภาพคล่องและจ่ายชำระคืนเงินกู้และเตรียมการลงทุนในทรัพย์สินกลุ่ม 3 มูลค่า 26,229.5 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากอัตราหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเหลือ 0.4 เท่า